“ถนนปากแพรก” เป็นถนนสายแรกของจังหวัดกาญจนบุรี ที่ย้ายกาญจนบุรีเก่า จากท่าเสา ลาดหญ้า มาสร้างเมืองกาญจนบุรีใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2374 ในสมัยรัชกาลที่ 3 ณ บริเวณที่เรียกว่า “ปากแพรก” ซึ่งเป็นจุดที่ลำน้ำแควน้อยและแควใหญ่ไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำแม่กลอง
จากเส้นทางคมนาคมทางธรรมชาติก็กลายเป็นชุมชนและเป็นถนนที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมาตั้งแต่สมัยอดีต และสำคัญยิ่งกว่าเมื่อเป็นถนนที่ก่อให้เกิดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีสิ่งปลูกสร้างหรืออาคารบ้านเรือนที่ควรค่าแก่การทรงจำมากมาย อย่างบ้านคุณบุญผ่อง แอนด์บาร์เดอร์ (สิริโอสถ) ได้แอบส่งยารักษาโรคมาลาเรียน เครื่องมือแพทย์ เครื่องมือสื่อสาร ตลอดจนได้ช่วยเชลยที่หนีจากค่ายญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งด้วย เชลยที่รอดชีวิตกลับไปสำนึกบุญคุณ จึงให้สมญานามว่าเป็น“วีระบุรุษสงครามของรถไฟสายมรณะ” และช่วยให้ไทยไม่ต้องถูกปฏิบัติอย่างผู้แพ้สงครามของไทย หรืออย่างบ้านแต้มทอง บ้านคหบดีเก่า สถาปัตยกรรมแบบจีนอายุประมาณ 150 กว่าปี สร้างโดยช่างชาวจีนในสมัยร.3 ยังคงมีข้าวของเครื่องใช้ ของเก่า เมื่อครั้งรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสไทรโยค เมื่อปี 2420 บ้านสหกุลพาณิชย์ ซึ่งเป็นบ้านเก่าที่ทหารญี่ปุ่นเคยขอเช่าเป็นที่พักของนายทหารและติดตั้งปืนกลบนดาดฟ้า มีหลุมหลบภัยในห้องใต้ดินภายในตัวบ้านและยังคงสภาพสมบูรณ์ นับเป็นสิ่งที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง ฯลฯ และเมื่อเล่าเรื่องมาถึงยุคปัจจุบันถนนสายนี้ยังมีความสำคัญในฐานะเป็นย่านที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน คชวัตร) ประสูติ และผนวช ณ วัดเทวสังฆาราม
ด้วยเหตุนี้ทางจังหวัดกาญจนบุรี นำโดยนายศักดิ์ สมบุญโต ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือฉายา “ผู้ว่าหัวใจเกษตร” จึงได้ร่วมมือกับองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ทำการพัฒนาส่งเสริมให้ถนนสายปากแพรก ให้เป็นถนนคนเดิน และได้เปิดมา 4 สัปดาห์แล้ว
นอกจากจะได้ชมสถาปัตยกรรมอันงดงามทรงคุณค่าและวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ ยังจะได้ชมการแสดงพื้นบ้าน ดนตรีพื้นเมือง การจัดแสดงภาพเก่าและภาพร่วมสมัยของเมืองกาญจน์ และยังอิ่มอร่อยกับอาหารโบราณ ที่หาไม่ได้ง่ายนักในสมัยนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เน้นมากก็คือสินค้าเกษตร ที่ได้รวบรวมผลผลิตทางด้านการเกษตร ทั้งพืชผัก ผลไม้ ของกินของใช้ รวมทั้งสินค้าเกษตรแปรรูปที่ขึ้นชื่อของจังหวัดมาไว้ที่นี่อย่างครบครัน
“ผมต้องการให้ชาวบ้านหรือเกษตรกรนำผลผลิตออกมาขาย “มีของออก มีเงินเข้า” ให้ได้เงินหมุนเวียน ยิ่งช่วงนี้ภัยแล้ง เราต้องส่งเสริมและสนับสนุนกันเต็มที่ ทุกหน่วยจะต้องออกมาช่วยกัน และสินค้าที่นำมาขายทุกอย่างจะต้องไม่แพง เพราะเราไม่เก็บค่าเช่าสถานที่ ทั้งนี้ ต้องการให้ประชาชนทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัดได้มีแหล่งท่องเที่ยวแบบวิถีไทย และจับจ่ายใช้สอยสินค้า ซึ่งหากทุกคนช่วยกันก็จะทำให้เรารอดพ้นวิกฤตและเศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน”
นอกจากถนนคนเดินปากแพรกแล้ว ประชาชนที่มาท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี ยังจะได้สัมผัสกับ “ตลาดโต้รุ่งเมืองกาญจน์” ที่ตั้งอยู่ติดกัน ซึ่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมาทางจังหวัดได้จัดให้มีการจัดอบรมผู้ประกอบการร้านอาหาร ทั้งด้านสุขาภิบาลอาหาร การสร้างภาพลักษณ์ร้านอาหารแผงลอย การต้อนรับและการสื่อสารกับนักท่องเที่ยว
ใครที่มีโอกาสไปจังหวัดกาญจนบุรีก็อย่าลืมแวะไปเที่ยวถนนคนเดินปากแพรก ซึ่งจะเปิดทุกวันเสาร์เวลา 16.00-21.00 น. และร้านอาหารโต้รุ่งเมืองกาญจน์ จะเปิดบริการทุกวัน …ไม่ไปไม่รู้ นะครับ