เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว… คุณมนตรี ตรีชารี อุปนายกสมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย และคุณศุภชัย นิลวานิช จากซุปเปอร์เอสเซ็นเตอร์ ชวนไปกินลมชม “สวนวโรชา” ของคุณวโรชา จันทโชติ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่ ณ ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง โทร. 090 3075216
ไปถึงก็พลบค่ำ เจ้าของบ้านรีบนำไปดูของดีของโชว์ “ลุงพรมาทั้งทีต้องต้อนรับกันหน่อย” เริ่มกันที่หลังบ้าน ชมการปลูกมะนาวแบบไร้ดิน ริมสระน้ำขนาดใหญ่ พร้อมพืชผักอื่นๆ เมื่อจบที่หลังบ้านก็มาที่หน้าบ้าน มาดูการปลูกมะนาวบนเนิน….เพื่อการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ต่อด้วยการเลี้ยงปลา ซึ่งที่หน้าบ้านของคุณวโรชานั้นยังมีสระน้ำอีก 1 สระ และสระน้ำนี้ยังใช้เลี้ยงกบ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ฯลฯ แถมยังมีโฮมสเตย์และลานระเบียงริมน้ำเอาไว้รองรับการประชุมเวลามีคนมาดูงานอีกด้วย
ผมวนเวียนสำรวจดู พบว่าบนพื้นที่ 5 ไร่ ก่อให้เกิดอาชีพและรายได้หลายช่องทางทีเดียว เป็นแนวคิดที่สามารถอยู่รอดได้ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ดังนี้
-
ขุดสระน้ำหล่อเลี้ยงทุกชีวิต
ทีหลังบ้านของคุณวโรชา ได้ขุดสระน้ำขนาดใหญ่ขนาดพื้นที่ 3 ไร่ ขุดลึก 1.50 เมตร และทำคันดินสูงขึ้นมาอีก 1 เมตรเศษ เพื่อทำเป็นคันป้องกันน้ำท่วม และบนคันดินนี่เองที่ใช้เป็นพื้นที่ปลูกมะนาว รวมทั้งทำเป็นบริเวณนั่งเล่นตกปลา (ลูกชายเคยทำเป็นบ่อตกปลา แต่ปัจจุบันไม่ได้ทำแล้ว)
วัตถุประสงค์ของสระน้ำขนาดใหญ่นี้ เพื่อต้องการทำเป็นแหล่งเก็บน้ำไว้ใช้ทั้งปี โดยเฉพาะหน้าแล้งที่กำลังจะผ่านไป ได้สระน้ำนี้ช่วยชีวิตไว้ และยังเป็นบ่อเลี้ยงปลากินพืชหลายชนิด
นอกจากนี้ ยังมีสระน้ำหน้าบ้าน ขนาด 3 งาน เพื่อไว้เลี้ยงปลา และเอาไว้เป็นสถานที่สาธิตองค์ความรู้ต่างๆ เช่น การเลี้ยงไก่ในสระน้ำ การเลี้ยงเป็ด การเลี้ยงกบ ฯลฯ
-
ปลูกมะนาวทำกิ่งพันธุ์ขาย
บนคันดิน 2 ใน 4 ด้าน คุณวโรชาได้ปลูกพืชผักหลายอย่าง ที่ให้ผลดีที่สุดและทำรายได้มากที่สุดก็คือมะนาวแป้นวโรชา ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ทางสวนได้ทำการคัดเลือกมาเป็นเวลาหลายปีกว่าจะได้พันธุ์ที่ต้องการ มะนาวที่สวนแห่งนี้จะไม่เน้นขายลูก แต่จะเน้นทำกิ่งพันธุ์ขาย โดยวิธีการปลูกนั้นน่าจะเป็นจุดขายที่แตกต่างจากสวนอื่นๆ
กล่าวคือ ดินบริเวณที่จะปลูกมะนาวนั้น เป็นดินที่ขุดขึ้นมาจากสระน้ำ ซึ่งเป็นดินเหนียวปนทราย ปลูกพืชอะไรก็ได้ผลน้อย แต่จากวิกฤตก็เป็นโอกาส คือคุณวโรชาใช้ดินเดิมเป็นแค่เพียงภาชนะปลูก ด้วยการขุดดินในหลุมปลูกออกมาจากนั้นเติมวัสดุปลูกชนิดอื่นๆลงไปแทนที่ ประกอบด้วย แกลบดิบ ขี้เถ้าแกลบ เศษไม้ใบหญ้า ขุยมะพร้าว และที่ขาดไม่ได้คือขี้วัว โดยใช้อัตราส่วน 1:1 และใส่ปูนมาร์ลหรือปูนขาวลงไป 1 กำมือ ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน และราดด้วยน้ำหมักรกหมู จากนั้นจึงเอากิ่งพันธุ์มะนาวลงไปปลูก
วิธีการดูแลมะนาวที่ปลูกนั้น ระยะแรกจะเน้นการตัดแต่งโครงสร้างทรงพุ่มให้สวยงาม เพื่อให้แตกกิ่งมากที่สุด เรียกว่าการ “ทำสาว” พอเริ่มมีลูกก็เด็ดทิ้งทั้งหมด เพื่อเลี้ยงลำต้นและกิ่งให้สมบูรณ์แข็งแรงที่สุด
สำหรับปุ๋ยที่ใช้จะเน้นอินทรีย์เป็นหลัก โดยเฉพาะขี้นกกระทาจะใส่ทุก 10 วัน สัดส่วน 1 ช้อนโต๊ะ ถ้าเป็นต้นเล็ก ถ้าขนาดกลาง 1 ทัพพี และต้นใหญ่ 1 ขัน เรื่องปุ๋ยขี้นกกระทานี้ใช้ได้ผลมาก ทำให้โครงสร้างต้นมะนาวเติบโตทุกส่วน เคยใช้ขี้หมู และขี้ค้างคาว ปรากฏว่าทำให้มะนาวบ้าใบ และขาดไม่ได้จะเสริมด้วย “ผงชูรส” ก็คือปุ๋ยเคมีที่มียูเรีย หรือไนโตรเจนสูงในช่วงที่ต้องการจะให้แตกกิ่งเยอะๆหลังตัดแต่งทรงต้น ใช้สูตร 25-7-7 หรือ 27-9-9 การใส่ปุ๋ยนั้นจะโรยรอบต้นปลายทรงพุ่ม และระบบน้ำใช้น้ำรดโคนต้น จะไม่รดใบ เนื่องจากจะทำให้เป็นโรคแคงเกอร์ได้ง่าย
ประมาณ 8 เดือน มะนาวที่ปลูกก็เติบโตสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอนกิ่งขายได้
วิธีเลือกมะนาวกิ่งที่จะตอน ให้เลือกจากต้นที่ให้ผลดก และให้เลือกกิ่งกระโดง เลือกตอนตรงที่เป็นกิ่งอ่อนต่อเชื่อมกับกิ่งแก่ ยาวประมาณ 1 ฟุตจากยอดลงมา วิธีการตอนก็เหมือนทั่วไป เพียงแต่ต้องรดน้ำสม่ำเสมอ ราว 18-20 วันก็ออกราก และราว 25-30 วัน ก็สามารถตัดมาชำในถุงดำ และอนุบาลไว้ 2 อาทิตย์สามารถส่งลูกค้าหรือนำไปปลูกได้แล้ว โดยต้นมะนาว 1 ต้น เมื่อทำสาวแล้วจะแตกกิ่งออกมาต้นละประมาณ 80-100 กิ่ง นั่นหมายถึงต้นมะนาว 1 ต้นจะได้กิ่งพันธุ์เพื่อจำหน่าย หรือปลูกได้ 80-100 กิ่ง
นอกจากการขยายพันธุ์กิ่งมะนาวขาย ที่หน้าบ้านของคุณวโรชา ยังได้ทดลองปลูกมะนาว “ภูเขาไฟ” นั่นหมายถึงว่าได้ขุดดินจากแหล่งต่างๆมาเป็นภาชนะปลูก เช่น แบบดินทราย ดินดาน ดินลูกรัง โดยจะวางกองให้สูงเหมือนภูเขาไฟ และเจาะเอาดินตรงยอดกลางออก เพื่อเติมวัสดุปลูกตามสูตร ซึ่งเป็นงานทดลองเพื่อการศึกษา และพบว่ามะนาวจะปลูกในสภาพดินแบบไหนก็ได้ เพียงแต่วัสดุปลูกจะต้องดีหรือเหมาะสมเท่านั้น
-
ปลูกไผ่กินสด กล้วย มะขามสีม่วง ฯลฯ
นอกจากการขยายพันธุ์มะนาวเป็นหลักแล้ว ยังปลูกพืชชนิดอื่นๆ เป็นรายได้เสริม เช่น ไผ่กินสด ซึ่งเป็นไผ่หวานชนิดหนึ่งที่สามารถกินสดๆ โดยนำไปจิ้มน้ำพริกได้ และยังปลูกกล้วยหอม กล้วยน้ำว้ามะลิอ่อง ซึ่งทั้ง 3 ชนิดพืชนี้จะเน้นขยายหน่อพันธุ์ขาย
นอกจากนี้ ยังทำการขยายพันธุ์มะขามสีม่วงด้วยวิธีทาบกิ่งขาย รวมทั้งสะเดามันทวาย พืชที่ปลูกแบบไม่ต้องดูแลมาก ก็เน้นทำกิ่งพันธุ์ขาย ด้วยวิธีการเจาะแขนงมาแช่น้ำธรรมชาติในอ่างปูน และยังขยายพันธุ์ดอกดาวเรืองขายอีกด้วย
อีกช่องทางหนึ่งที่สร้างรายได้เกี่ยวกับพืชคือ การนำเมล็ดดอกทานตะวันมาเพาะทำเป็นหน่ออ่อน เพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น ใช้ดอกทานตะวัน 2 ดอก ราคา 4 บาท มาเพาะหน่ออ่อนจะได้ประมาณ ½ กิโลกรัม ขายได้ 40 บาท
-
เลี้ยงปลา หอยขม กุ้งฝอย กบ ไก่ เป็ด ฯลฯ
ที่สระน้ำหน้าบ้านของคุณวโรชา ดูเหมือนว่าจะมีกิจกรรมที่หลากหลายมาก เขาได้ออกแบบให้มีทางเดินที่ทำจากไม้ไผ่ดูสวยงามเป็นธรรมชาติมาก และแน่นอนว่าในน้ำเขาเลี้ยงปลากินพืชหลายชนิด ที่ทำรายได้หลัก คือปลานิล และปลาตะเพียน ยังมีเลี้ยงกบในกระชัง เลี้ยงกุ้งฝอยในกระชัง อีกทั้งเลี้ยงเป็ด 30 ตัว เลี้ยงไก่ไข่ที่ทำกรงไก่บนน้ำเพื่อให้ขี้ไก่เป็นอาหารปลา จำนวน 20 ตัว และนกกระทาอีก 50 ตัว
คุณวโรชา บอกว่า การเลี้ยงสัตว์บางชนิดไม่ได้เน้นขายในเชิงพาณิชย์ แต่จะเลี้ยงเพื่อเป็นองค์ความรู้และเอาไว้เลี้ยงผู้คนที่มาดูงาน จะขายก็เฉพาะในท้องถิ่นบ้านใกล้เรือนเคียง
-
เปิดเป็นแหล่งศึกษาดูงานเกษตรและสร้างโฮมสเตย์ไว้รองรับ
จากการที่คุณวโรชา ได้มีความมุ่งมั่นในการทำเกษตรแบบผสมผสานและถือว่าประสบความสำเร็จคนหนึ่งของจังหวัดอ่างทอง โดยที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านสื่อต่างๆจำนวนมาก ทำให้เป็นที่สนใจของผู้ศึกษาดูงาน บางเดือนจะมากันหลายคณะ บางคณะนอนพักค้างคืน จึงได้สร้างเป็นโฮมสเตย์ขึ้นมารองรับ จุได้ประมาณ 60 คน ซึ่งในส่วนนี้ยังทำให้มีรายได้จากการทำอาหารจัดเลี้ยงและขายผลิตผลจากสวนได้ด้วย
บทสรุป : 5 ไร่ทำเงินอยู่ได้แบบสบายๆ
คุณวโรชา สรุปให้ฟังว่า การทำเกษตรสมัยใหม่จะต้องคิดวางแผนก่อนทำ เช่น มีพื้นที่ 5 ไร่ ควรวางผังอย่างไร ควรปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์อะไรบ้างที่เป็นความต้องการของตลาดในท้องถิ่น และควรเริ่มต้นจากการปลูกและเลี้ยงจำนวนน้อยๆก่อน เช่น จะปลูกกล้วยน้ำว้ามะลิอ่อง ควรปลูกจากจำนวนน้อยต้น จนเมื่อการเรียนรู้ของเราดีพอและมีตลาดรองรับจึงค่อยมาต่อยอด หรืออย่างการปลูกมะนาวก็ไม่ได้เน้นปลูกจำนวนมาก ปลูกเพียงไม่กี่ต้นแต่ทำรายได้มาก
“ในรอบปีที่ผ่านมาผมมีรายได้จากขายกิ่งพันธุ์มะนาวแป้นวโรชาเป็นครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด ที่เหลือเป็นรายได้จากการเก็บเล็กผสมน้อยจากพืชและสัตว์ตัวอื่นๆ…ผมคิดว่ามีที่ดินแค่ 5 ไร่ ก็เลี้ยงครอบครัวอยู่รอดได้ทั้งปี”
ผมได้สืบเสาะแบบเจาะลึกก็พบว่ามีรายได้ต่อปีนับเป็นหลักล้านบาท โดยเฉพาะเวลานี้มักได้รับเชิญไปออกงานแสดงสินค้าเกษตร รวมทั้งงานบรรยายต่างๆ ซึ่งบางงานอาจไม่ได้เป็นเงินทองมากมาย แต่ถือว่าได้รับเกียรติจากสังคม ซึ่งมีเกษตรกรน้อยคนที่จะทำได้…แต่หากใครทำได้ก็จะขจัดความยากจนได้อย่างแน่นอนครับ