หมายเหตุ-เกษตรก้าวไกล : เนื่องจากเวลานี้ มีโฆษณาเรื่องพันธุ์อินทผาลัมกันมาก และมักมีคำถามจากเกษตรกรเสมอว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจจริงหรือ อนาคตจะยั่งยืนแค่ไหน…”เกษตรก้าวไกล” จึงขอทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง พร้อมที่จะรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่ายทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ เพื่อที่จะนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจ “คำตอบอาจยังมาไม่ถึง แต่คำห่วงใยก็เกิดขึ้นแล้ว” ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงอื่นใด (สำหรับท่านที่ต้องการแสดงความคิดเห็นส่งมาได้ที่ lungpornku2@gmail.com หรือ id line 0813090599)
“ดีกับคนเริ่มต้น คนตามหลัง(อาจ)หมดตูด”
-
สถานการณ์การปลูกอินทผาลัมของประเทศไทย คิดว่าที่ปลูกกันนั้นได้ผลดีหรือไม่?
การปลูกและการผลิต ต้องยอมรับว่าเวลานี้มีปลูกกันทุกภาค แต่เท่าที่ติดตามดูผมว่าผลผลิตหลายที่ ยังไม่ดีทีเดียว ถ้าราคาเหลือกิโลกรัมละ 100 – 150 บาท ก็ไม่คุ้มแล้วครับ
เกษตรกรที่ปลูกบอกว่าต้นหนึ่ง 100-200 กิโลกรัมๆ 50 บาทก็อยู่ได้ แต่จริงๆมันไม่ได้อย่างนี้ทุกต้น เพราะความไม่เสถียรในเรื่องรสชาติและความหวานของแต่ละต้นในพันธุ์เดียวกัน
-
ตลาดอยู่ที่ไหนและความนิยมในหมู่บริโภคคนไทย คิดว่าดีไหม?
เท่าที่ชิมดูผมว่าเป็นของกินของคนมีเงินนะ รสชาติออกฝาดนิดๆ เกือบทุกต้น สำหรับผม แค่กิโลละ 50 บาท ผมว่าซื้อพุทรากินดีกว่า แต่คนอื่นผมไม่ทราบ ผมว่ารสชาติไม่ถูกรสนิยมคนไทยนะ แค่เห่อเพราะของใหม่ ดูทะลายกับลูกมันสวยดี
-
หากคิดจะปลูกควรเริ่มต้นอย่างไร …เตรียมพร้อมในเรื่องอะไรบ้าง?
แค่ราคาพันธุ์ก็ถอยแล้วครับ เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นละ 1,200 บาท จะไหวเรอะ
-
ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การปลูกได้ผลดี เช่น พันธุ์ ควรเป็นพันธุ์อะไร อย่างไร?
พันธุ์ที่ดี พันธุ์เดียวกันแท้ๆ จากเนื้อเยื่อ คุณภาพกับรสชาติยังไม่เหมือนกัน บางต้นก็ฝาดมาก ต้องขุดออกทิ้ง แถมมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย ตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถแยกเพศได้ด้วยสายตาเลย เกษตรกรต้องมีต้นตัวผู้เพื่อเก็บเกสรไปผสมให้กับต้นตัวเมีย ไม่เช่นนั้นไม่ได้ลูก ยากครับ เป็นการปลูกพืชที่ต้องการความปราณีตมาก ถ้าราคากิโลกรัมละ 500 บาท ก็พอไหว แต่ถ้าปลูกกันมากๆ คนปลูกทีหลังเสร็จแน่
-
ปัญหาการปลูกในประเทศไทยที่เกษตรกรควรระวัง?
ปัญหาของอินทผาลัม เหมือนมะพร้าว ศัตรูที่สำคัญคือด้วง ถ้าเข้าทำลายเมื่อไร 1,200 บาท หายวับไปกับตา ยังไม่รวมค่าแรงปลูก ค่าปุ๋ย ฯลฯ
-
ที่มีการประกาศโฆษณาขายพันธุ์กันตอนนี้ ให้เลือกซื้ออย่างไร?
การขายพันธุ์ แต่ละรายก็บอกว่าเป็นตัวเมียทั้งหมดจากเนื้อเยื่อ แต่คนซื้อไปปลูกอย่าน้อยประมาณ 2-3 ปี จะรู้ผล ถ้าออกมาไม่ดี ก็เจ๊ง เสียเวลาไปเปล่าๆ ธุรกิจนี้ดีกับคนเริ่มต้น กับคนขายพันธุ์ คนตามหลัง(อาจ)หมดตูดได้ครับ
-
มองระยะยาวอิมทผาลัมประเทศไทย จะมีความยั่งยืนแค่ไหน ไปได้ไกลไหม?
ธุรกิจตัวนี้ ก็เหมือนกล้ายางดีที่คนขายพันธุ์กับคนปลูกแรกๆ คนหลังหมดตัว ถ้าจะทำให้ยั่งยืนต้องปลูกในพื้นที่ๆใหญ่มากๆ ทำให้ผลผลิตออกขายได้ตลอดปี จึงจะครองตลาดได้ ชึ่งอินทผาลัม ก็เหมือนมะพร้าวเวลาช่วงฤดูก็จะมีผลผลิตออกมาก ราคาก็จะตก พอหมดช่วงฤดูก็จะให้ผลผลิตออกน้อยไม่พอกับความต้องการของตลาดราคาก็จะสูง
ตอนนี้คนปลูกช่วงแรกรวย กิโลกรัมละ 500 บาท ต้นหนึ่งๆผลผลิตอย่างต่ำแค่ 100 กิโลต่อต้นต่อปี ก็ได้ 50,000 บาทแล้ว ถ้าไร่หนึ่งมี 20 ต้น ขายได้ไร่ละล้านบาท ดูตัวเลขแล้วน่าทำนะ ตัวเลขคล้ายๆลองกองสมัยแรกๆจากกิโลกรัมละ 300 บาท เหลือ 3 กิโลกรัม 100 บาท
ถ้าขายสดไม่ได้ จะอบหรือตากแห้งก็ไม่คุ้ม เพราะบ้านเราความชื้นสูง ต้นทุนจะสูงกว่านำเข้า ที่สำคัญคือคุณภาพสู้ที่นำเข้าไม่ได้แน่นอน
ผมว่าอินทผาลัมเป็นผลไม้แฟชั่น ของคนมีสตางค์…ปลูกมะพร้าวดีกว่ามากมาย ขายได้ทุกระยะ ส่งออกก็สดใส ส่วนอินทผาลัมส่งออกจีนไม่ได้ แค่ราคาก็ส่ายหน้าแล้ว แถมรสชาติสู้พุทราจีนไม่ได้ ได้เพียงแค่สีสันเท่านั้น
สรุปว่าเกษตรตามกระแส มีสิทธิ์หมดตัวเหมือนเดิม มันเป็นความจริงที่ต้องยอมรับ เราเป็นห่วงคนที่ลงทุนตามกระแส รุ่นแรกๆไม่น่าห่วง…ทุกวันนี้ “ปลาเร็วกินปลาช้า” ไม่ใช่ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” …คนขายพันธุ์ไม้รวยกว่าคนปลูกแน่นอนครับ
หมายเหตุ : คุณศักดา ศรีนิเวศน์ ปัจจุบันเป็นนักวิชาการเกษตรอิสระ และเป็นคอลัมน์นิสต์ “เกษตรต่างแดน” ในนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน และเครือมติชน ติดต่อได้ที่ s_sinives@yahoo.com