ต้องยอมรับว่ารัฐบาลชุดนี้ที่มี “ลุงตู่” เป็นหัวหน้าได้มีการพูดถึงภาคเกษตรกันมาก จนทำให้เกษตรกรมีการตื่นตัวกันตามลำดับ โดยเฉพาะเกษตรกรรุ่นใหม่ เกิดขึ้นคนแล้วคนเล่า เป็นกระแสที่มาแรงมากๆ เป็นโอกาสที่จะพัฒนาภาคเกษตรไทยให้เป็นผู้นำของโลกได้ไม่ยาก
จาก “Smart farmer” ที่ต้องการปั้นให้ “เกษตรกรเป็นพระเอก” ก็มาสู่ “Thailand 4.0” โมเดลพัฒนาประเทศไทยใหม่ล่าสุดที่ต้องการยกระดับประเทศไทยในทุกมิติของภาคเศรษฐกิจ และแน่นอนว่าภาคเกษตรจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
แล้ว “Thailand 4.0” คืออะไร?
ตอบแบบเข้าใจง่ายๆและสั้นๆว่า คือการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่แบ่งออกเป็น 4 ยุค คือ Thailand 1.0 ยุคแรกจะเน้นภาคเกษตร Thailand 2.0 เน้นภาคอุตสาหกรรมเบา และ Thailand 3.0 เน้นภาคอุตสาหกรรมหนักและการส่งออก
ทั้ง 3 โมเดลที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศ “รายได้ปานกลางขั้นสูง” แต่ก็หยุดอยู่แค่นั้น “หยุดนานจนเกินไป” ทำให้มีแนวคิด Thailand 4.0 ออกมา ซึ่งก็ต้องยกเครดิตให้กับ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ออกมาจุดประกายแนวคิดนี้ ซึ่งว่ากันว่าจะสามารถขับเคลื่อนประเทศให้ไปได้ไกลกว่า โดยโมเดลนี้เป็นแนวคิดที่จะนำโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ “Value-Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม”
สรุปว่า Thailand 4.0 คือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม อันหมายความว่าเราจะเปลี่ยนจากการผลักดันสินค้าโภคภัณฑ์ไปสู่สินค้าเชิงนวัตกรรม แปลง่ายๆก็คือว่าเราจะไม่ผลิตเพื่อขายกันแบบสดๆ แบบที่ผ่านมาในอดีตเพียงอย่างเดียว เช่น ปลูกข้าวก็ไม่ใช่ว่าขายแบบข้าวเปลือก แต่จะทำการแปรรูปเพิ่มมูลค่า ทั้งแต่พันธุ์ข้าวที่ปลูกจะต้องมีการวิจัยพัฒนา เช่น ข้าวที่ทานแล้วแก้โรคนั้นโรคนี้ บำรุงนั้นบำรุงนี้ ทุกอย่างจะต้องมีเรื่องราวมีคุณค่าและมูลค่า จะต้องผูกโยงกับเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และเปลี่ยนจากการเน้นภาคการผลิตสินค้าไปสู่การเน้น ภาคบริการมากขึ้น
“เราจะเปลี่ยนจากเกษตรแบบดั้งเดิม สู่เกษตรสมัยใหม่ เน้นบริหารจัดการและเทคโนโลยี เตรียมปั้นเกษตรกรเป็นผู้ประกอบการ ทั้งยังเป็นเกษตรกรที่มีฐานะร่ำรวย” นี่คือโมเดลการการพัฒนาเศรษฐกิจ Thailand 4.0 ที่ผมหยิบยกมาเฉพาะภาคเกษตร ซึ่งจริงๆเขาพัฒนาครอบคลุมทุกด้าน
ในเรื่องการพัฒนาโมเดลนี้ จริงๆก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างเช่นภาคเกษตรนั้น เกษตรกรหลายรายที่ผมรู้จักก็นำการพัฒนาไปแล้ว อย่างเช่น คุณเสาวนีย์ และคุณเกรียงศักดิ์ วิเลปะนะ เกษตรกรเจ้าของสวนกล้วยหอมย่านรังสิต ที่พลิกตัวเองมาเป็น “นักธุรกิจเกษตร” อย่างเต็มตัว ในฐานะเจ้าของบริษัทคิงฟรุทส์ฯ ด้วยแนวคิดทำการเกษตรให้เป็นธุรกิจ เปลี่ยนทัศนคติจากการเป็นผู้ตามมาเป็นผู้นำ สามารถเจรจาธุรกิจกับคู่ค้าที่เป็นรายใหญ่ เช่น การขายกล้วยหอมให้กับห้างสรรพสินค้าต่างๆ รวมทั้งร้านเซเว่นอีเลฟเว่นทั่วประเทศ
แต่การหมายมั้นปั้นมือของรัฐบาลเที่ยวนี้ คือการทำให้เกิดขึ้นทั้งระบบ ไม่ใช่จุดใดจุดหนึ่ง คือต้องการให้ตื่นตัวกันทั้งประเทศ โดยรัฐบาลจะใช้นโยบาย “ประชารัฐ” คือการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน นั่นหมายถึง “เดินไปด้วยกัน” “สำเร็จด้วยกัน” ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีทีเดียว
“เป้าหมายที่ได้จากโมเดลนี้คือเปลี่ยนประเทศไทยที่จัดอยู่ในกลุ่มประเทศ “รายได้ปานกลางขั้นสูง” ให้กลายเป็นกลุ่ม “ประเทศที่มีรายได้สูง” ด้วยนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับคุณภาพของเศรษฐกิจ จากกลไกต่างๆ เน้นไปทางการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ ผสมกับภูมิปัญญาต่างๆ” นี่คือความฝันของรัฐบาลชุดนี้
สั้นๆง่ายๆ คือรัฐบาลชุดนี้จะใช้ภาคเกษตรเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะ “เกษตรคือประเทศไทย” เป็นจุดเริ่มต้นของเศรษฐกิจต่างๆมากมาย เช่น อาหาร พลังงาน ฯลฯ
“ประเทศไทยจะต้องขับเคลื่อนด้วยภาคเกษตร” คือแนวคิดของลุงตู่ที่ผมได้ฟังมาจาก ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่เล่าให้ฟังว่าได้ไปพบกับนายกรัฐมนตรีท่านนี้เมื่อวันก่อน และม.เกษตรเองก็จะเป็นเจ้าภาพในงานวิจัยพัฒนาต่างๆที่เกี่ยวข้อง
ในฐานะที่เฝ้าติดตามวงการเกษตรมาเป็นเวลานานและเป็นลูกของเกษตรกรคนหนึ่งก็อยากให้นโยบายแบบนี้สำเร็จ
“เกษตรกรต้องก้าวไกล เกษตรไทยต้องเป็นที่ 1” คือความฝันอันสูงสุดของใครต่อใคร รวมทั้งของผมคนหนึ่งด้วยละที่อยากให้เกษตรกรเป็น “พระเอกตัวจริง” เสียที…อย่าให้รอนานเกินไปนะครับ
(ขอบคุณภาพลุงตู่ จาก http://www.tlcthai.com ส่วนภาพ รมว.เกษตรฯ จากปชส.กระทรวงเกษตรฯ)