สับปะรดสายพันธุ์ “ทิปโก้หอมสุวรรณ” เป็นสับปะรดที่ปลูกในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์แห่งเดียวในประเทศไทย และได้รับการพัฒนาสายพันธุ์มาเพื่อผู้บริโภคโดยเฉพาะ โดยบริษัททิปโก้ ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดน้ำผลไม้ในประเทศไทย ได้พัฒนาสายพันธุ์ขึ้น บนโจทย์ที่ว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยรับประทานสับปะรดกันมากขึ้น เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพดี โดยเฉพาะสับปะรดเป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีวิตามินซีสูง และปลูกได้ดีในประเทศไทย
“อย่างไรก็ตาม จากการวิจัย เราพบว่า คนไทยยังบริโภคสับปะรดกันน้อย เนื่องจากมีอุปสรรคเรื่องรสชาติที่เปรี้ยวจนบางคนอาจจะไม่ชอบ รวมทั้งการปอกเปลือกสับปะรดที่ลำบาก จึงนำไปสู่ความตั้งใจของบริษัทฯ ที่ต้องการพัฒนาสายพันธุ์สับปะรดขึ้นมาใหม่ เพื่อให้มีรสชาติถูกปากคนไทย รับประทานได้ง่าย ได้คุณค่าทางโภชนาการที่เพิ่มขึ้น และสามารถปลูกได้ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อันเป็นต้นกำเนิดของบริษัทฯ เราจึงได้พัฒนาสายพันธุ์สับปะรดทิปโก้หอมสุวรรณขึ้น ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่มีเนื้อสีเหลืองทอง รสชาติหวาน มีกลิ่นหอม มีความเป็นกรดต่ำ ทำให้ไม่กัดปาก มีเปลือกบางทำให้ปอกง่าย และมีวิตามินซีสูงกว่าสับปะรดพันธุ์อื่น จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นสับปะรดที่ออกแบบมาเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ และการพัฒนาสายพันธุ์สับปะรดจะเป็นการช่วยให้คนไทยมีสุขภาพดีขึ้น ซึ่งเป็นพันธกิจที่เรามุ่งมั่นมาตลอด และเป็นการพัฒนาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ไปพร้อมกับการพัฒนาประเทศด้วย” นายเอกพล พงศ์สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้ ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) กล่าว
จุดเริ่มต้นของการพัฒนาสายพันธุ์สับปะรดทิปโก้หอมสุวรรณ เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2540 ในศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพทางพืชของทิปโก้ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และใช้เวลาจนถึง พ.ศ. 2551 กว่าที่จะได้สายพันธุ์สับปะรดที่ได้รสชาติและคุณภาพตามที่ต้องการ ซึ่งจนถึงปัจจุบัน ศูนย์วิจัยแห่งนี้ยังคงทำหน้าที่ค้นคว้าพัฒนาสายพันธุ์สับปะรดอย่างต่อเนื่อง
ขั้นตอนการเพาะปลูกสับปะรดพันธุ์ทิปโก้หอมสุวรรณ จำเป็นต้องได้รับการพิถีพิถันเป็นพิเศษภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญและเกษตรกรที่มีประสบการณ์ บนพื้นที่การเพาะปลูก 25 แปลง จำนวน 5,600 ไร่ ซึ่งครอบคลุมอาณาเขต 3 ตำบล ได้แก่ ต.คลองวาฬ ต.เกาะหลัก และต.ห้วยทราย โดยเริ่มจากการเพาะพันธุ์เนื้อเยื่อ ซึ่งศูนย์วิจัยแห่งนี้สามารถเพาะพันธุ์เนื้อเยื่อได้กว่า 2 ล้านต้นต่อปี การขยายพันธุ์ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน จึงจะย้ายมาปลูกในแปลงได้ และต้องใช้เวลาอีกราว 2 ปีครึ่ง จึงจะได้สับปะรดที่สมบูรณ์ โดยสับปะรดพันธุ์ดังกล่าวจะใช้เวลาประมาณ 5 เดือนนับจากออกดอกจนได้ผลที่สุกพอดี
“การดูแลสับปะรดทิปโก้หอมสุวรรณต้องใช้ความพิถีพิถันอย่างสูงเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงสุด โดยเฉพาะการที่เปลือกสับปะรดพันธุ์นี้มีความบางมากกว่าพันธุ์อื่นจึงต้องดูแลมากเป็นพิเศษ สิ่งนี้ทำให้ทีมวิจัยนอกจากจะพัฒนาสายพันธุ์ที่ดีแล้ว ยังต้องคิดค้นนวัตกรรมเพื่อการเพาะปลูกและการดูแลผลผลิตสับปะรดทิปโก้หอมสุวรรณโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้สับปะรดคุณภาพดีที่สุดอีกด้วย” นายเดช อยู่ชา รองผู้อำนวยการ ฝ่ายคิดค้นและพัฒนาสับปะรดทิปโก้หอมสุวรรณ กล่าว และได้แนะนำเรื่องการปลูก ดังนี้
- เริ่มตั้งแต่การเตรียมดินเพื่อการปลูกซึ่งไม่ใช่การเผา แต่ใช้การปั่นซากผลผลิตเก่าแล้วไถกลบเพื่อให้เป็นปุ๋ยธรรมชาติ ปรับพื้นที่ ทำระบบระบายน้ำไม่ให้น้ำขัง
- การปูแผ่นพลาสติกบนดินนับเป็นนวัตกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของการปลูกสับปะรดทิปโก้หอมสุวรรณ ซึ่งไม่มีในการปลูกที่อื่น คิดค้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะปลูกสับปะรดของทิปโก้ โดยการปูแผ่นพลาสติกที่สั่งทำพิเศษนี้จะช่วยให้ดินกักเก็บความชุ่มชื้นได้ตลอด เนื่องจากน้ำจะระเหยขึ้นมาเป็นไอน้ำจากดิน เมื่อกระทบกับแผ่นพลาสติกก็จะจับตัวเป็นหยดน้ำ ทำให้ดินมีความชุ่มชื้น สามารถรักษาคุณภาพของดินไว้ได้นาน ช่วยประหยัดน้ำ ป้องกันวัชพืข และทำให้ไม่ต้องใช้สารเคมีมาก เป็นการลงทุนสูงแต่ช่วยให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และรักษาคุณภาพของดินไว้ได้นาน
- นวัตกรรมอีกอย่างหนึ่งที่คิดค้นและออกแบบมาเพื่อสับปะรดพันธุ์นี้โดยเฉพาะที่เดียวในประเทศไทยคือ การคลุมผลสับปะรด หรือเรียกกันในกลุ่มผู้เพาะปลูกว่า “ใส่หมวกให้สับปะรด” เมื่อสับปะรดออกผลได้อายุ 2 เดือนครึ่ง –3 เดือน เพื่อป้องกันแสงแดดมาสัมผัสผิวของสับปะรดมากเกินไป ซึ่งจะทำให้ผลผลิตมีความเสียหายได้ เนื่องจากผิวของเปลือกสับปะรดพันธุ์นี้มีความบางมากจึงต้องได้รับการปกป้องเป็นพิเศษ โดย “หมวก” ที่นำมาใส่ให้ผลสับปะรดนั้นทำมาจากพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
- นอกจากนั้น การเก็บผลผลิตเองยังต้องพิถีพิถันเช่นกัน โดยมีการเทียบสีเปลือกตามมาตรฐาน (Shell Color Standard) ซึ่งต้องปรับสีเปลือกตามฤดูกาล โดยฤดูฝนจะต้องเก็บสับปะรดที่มีสีเปลือกในโทนสีที่ต่ำกว่า ในขณะที่ฤดูหนาวและร้อนจะเก็บสับปะรดที่มีสีเปลือกโทนสีที่สูงขึ้น เพื่อให้สับปะรดสุกได้ระดับพอดี มีการใช้รางสายพานนำผลผลิตจากแปลงสับปะรดมาสู่รถ ทำให้ใช้แรงงานคนน้อย และรักษาผลสับปะรดไม่ให้กระทบกระเทือนได้มาก สับปะรดที่เก็บได้จะนำมาผ่านขั้นตอนการทำความสะอาด การป้องกันเชื้อรา และนำมาคัดคุณภาพและขนาดของสับปะรดโดยผู้เชี่ยวชาญ ก่อนขนส่งไปให้ผู้บริโภค
แม้ว่าสับปะรดพันธุ์ทิปโก้หอมสุวรรณจะออกแบบมาเพื่อถูกปากคนไทย แต่คุณภาพของสับปะรดพันธุ์ดังกล่าวได้รับการยกย่องในเวทีโลก โดยเป็นสับปะรดไทยพันธุ์เดียวที่ได้รับรางวัล Superior Taste Award ระดับ 3 ดาว จากสถาบันรับรองรสชาติเครื่องดื่มและอาหารนานาชาติ (iTQi) จากประเทศเบลเยียม
“สับปะรดทิปโก้หอมสุวรรณได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีตั้งแต่วางจำหน่าย รวมไปถึงการได้รับรางวัลในระดับนานาขาติแสดงถึงความเชื่อมั่นในคุณภาพของสับปะรดทิปโก้หอมสุวรรณในระดับโลกเช่นกัน ดังนั้น ทิปโก้จึงตั้งเป้าที่จะส่งออกสับปะรดทิปโก้หอมสุวรรณไปยังต่างประเทศในอนาคตด้วย ซึ่งบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ต่อไป นอกจากนี้ ในปีนี้ทิปโก้ฯ ยังได้เปิด Dessert Café ชื่อร้าน “หอมสุวรรณ พีน่า พีน่า” ที่ชั้น G North Zone ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ที่จะสร้างประสบการณ์ในการการกินสับปะรดในรูปแบบใหม่ โดยนำมาสร้างสรรค์เป็นขนมหวานจากผลไม้สด ซึ่งเป็นการต่อยอดทำให้สับปะรดทิปโก้หอมสุวรรณเข้าถึงไลฟ์สไตล์ขอคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น” นายเอกพลกล่าว
สับปะรดทิปโก้หอมสุวรรณมีจำหน่ายที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และร้านหอมสุวรรณ พิน่า พิน่า ชั้น G ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน.