นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ได้ชี้แจงในเรื่องดังกล่าวว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่ว่าสับปะรดพันธุ์เอ็มดีทูไม่สามารถจำหน่ายผลผลิตได้นั้น ขออธิบายในหลักการประกอบด้วย 4 ข้อด้วยกันได้แก่
1. หลักการส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ คือ รวมเกษตรกรที่สมัครใจร่วมการผลิตสินค้าเกษตรชนิดเดียวกัน ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน โดยมีผู้จัดการแปลง บริหารจัดการตลอด Supply chain มุ่งลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และมาตรฐานสินค้า โดยทุกแปลงใหญ่จะต้องมีแผนการผลิตและแผนการบริหารจัดการเป็นของตนเอง
2. สำหรับพื้นที่แปลงใหญ่สับปะรด อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีสมาชิก 65 ราย พื้นที่ 1,000 ไร่ ปลูกสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย เพื่อบริโภคสด และทำสัญญาขายผลผลิตกับ makro ตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดร่วมกัน โดยปรับราคารับซื้อเป็นช่วงๆ ตาม demand/supply ที่ผ่านมา สามารถขายผลผลิตได้ ในราคาผลละ 20-28 บาท (ขนาดผล 1.3-1.6 กก.)
3. สำหรับสับปะรดพันธุ์ MD2 เป็นสับปะรดรับประทานผลสด ซึ่งจังหวัดให้การสนับสนุน โดยในปี 2559 จังหวัดได้ใช้งบพัฒนาจังหวัดสนับสนุนหน่อพันธุ์ MD2 จำนวน 90,000 หน่อ ให้เกษตรกรใน 8 อำเภอ ทดลองปลูกเป็นแปลงทดสอบ เพื่อศึกษาแนวทางการขยายการผลิต โดยช่วงเวลาปัจจุบันเป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาด และผลผลิตที่ได้มาตรฐานกลุ่มเกษตรที่นำไปปลูกทดสอบสามารถจำหน่ายให้ Tesco Lotus ได้ในราคาผลละ 25 บาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพันธุ์ดังกล่าว เป็นพันธุ์ใหม่ เกษตรกรยังไม่คุ้นเคยกับวิธีดูแลรักษา จึงทำให้ผลผลิตที่ผ่านเกณฑ์มีน้อย ผลผลิตที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานดังกล่าว สำนักงานเกษตรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้นำมาจำหน่ายให้กับส่วนราชการในจังหวัด และส่งเสริมให้แปรรูปเป็นน้ำสับปะรดมาจำหน่ายอีกทางหนึ่ง
4. สำหรับเกษตรกรรายที่เป็นปัญหา เป็นสมาชิกแปลงใหญ่ที่ปลูกพันธุ์ปัตตาเวีย ขณะเดียวกันได้ปลูกพันธุ์ MD2 ด้วยจำนวน 8000 ต้น ซึ่งจะต้องทำเป็นแปลงทดสอบ แต่เกษตรกรได้บังคับการออกดอกในสภาพต้นไม่สมบูรณ์เพียงพอ ส่งผลให้ผลผลิตไม่ได้มาตรฐาน โดยสำนักงานเกษตรจังหวัดฯ ได้เข้าไปให้คำแนะนำ ตลอดจนนำผลผลิตมาจำหน่ายให้ในราคาผลละ 15 บาท ซึ่งเกษตรกรมีความเข้าใจเป็นอย่างดี
อนึ่ง สับปะรดพันธุ์ MD2 เป็นพันธุ์ที่เอกชนนำเข้ามาเผยแพร่ อยู่ระหว่างราชการทำแปลงทดสอบ ยังไม่ได้เป็นพันธุ์ส่งเสริมให้มีการปลูกในเชิงพาณิชย์ ดังนั้นจึงอยากชี้แจงให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปได้รับทราบด้วย