กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จับมือพันธมิตร ลงพื้นที่พบปะกลุ่มเกษตรกรอีสานล่าง กลุ่มชาหอมแดงอินทรีย์ และทุเรียนภูเขาไฟ เน้นโอกาสของสินค้าเกษตรไทยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ โดยยกระดับคุณภาพ มาตรฐานสินค้าและแปรรูปสินค้าให้มีความหลากหลาย เพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันทางการค้าเกษตรกรไทยและขยายการส่งออกไปตลาดโลก
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยผลจัดทัพร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ ดำเนินโครงการ “การเพิ่มศักยภาพเกษตรกรในยุคการค้าเสรี ครั้งที่ 5” ให้กับกลุ่มเกษตรกรของภาคอีสานล่าง 3 จังหวัดคือ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และยโสธร เมื่อวันที่ 17 – 18 มิถุนายน 2562 ณ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีการลงพื้นที่พบปะเกษตรกรผู้ผลิตชาหอมแดงอินทรีย์ โดยใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ผลิตเป็นชาหอมแดงจำหน่าย ซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มของหอมแดงให้ขยับสูง โดยหอมแดง 10 กิโลกรัม เมื่อแปรรูปเป็นชา สามารถขายได้มูลค่าสูงถึง 11,000 บาท และมั่นใจว่าการต่อยอดงานวิจัยต่อไปจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในเรื่องประโยชน์ของหอมแดงพืชสมุนไพรไทย หอมแดงยังสามารถแปรรูปเป็นหลากหลายผลิตภัณฑ์ได้ อาทิ เครื่องปรุงรส เครื่องเทศ สบู่ เครื่องสำอาง นำไปสู่การเพิ่มมูลค่าและลดความเสี่ยงด้านการตลาด แก้ปัญหาหอมแดงล้นตลาดราคาตกต่ำได้ด้วยนั้น นอกจากนี้ ยังได้พบหารือกับเกษตรกรผู้ผลิตทุเรียนภูเขาไฟ อำเภอกันทรลักษ์ ซึ่งเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์หรือ สินค้า GI ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยกรมฯ ได้ ย้ำถึงโอกาสธุรกิจของสินค้าเกษตรท้องถิ่นในการขยายการส่งออกไปต่างประเทศ แต่เกษตรกรจำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐาน สร้างเรื่องราวของสินค้า รวมกลุ่มอย่างเข้มแข็งเพื่อสร้างอำนาจต่อรองราคา สนองความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของอาหารมากขึ้น
นางอรมน เสริมว่า ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ กรมฯ ได้มีโอกาสประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจกับเกษตรกรถึงงานของกรมฯ ที่ทำหน้าที่เจรจาต่อรองทางการค้ากับประเทศคู่ค้า เพื่อเปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้าให้กับสินค้าของไทยโดยเฉพาะสินค้าเกษตรจึงต้องการให้สินค้าเกษตรไทยสามารถใช้ประโยชน์ได้จากการจัดทำการค้าเสรีหรือเอฟทีเอกับประเทศคู่ค้าโดยปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดทำเอฟทีเอแล้ว 13 ฉบับกับ 18 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี อินเดีย เปรู ชิลี ฮ่องกง โดยมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับประเทศคู่เอฟทีเอ 18 ประเทศ มีการเติบโตเพิ่มขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา เมื่อปี 2561 ไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปตลาดโลกด้วยมูลค่ากว่า 23,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออกไปประเทศคู่ค้าเอฟทีเอมูลค่ากว่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือร้อยละ 64 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร สำหรับผลไม้ทุเรียน ปี 2561 ไทยส่งออกทุเรียนสดและแปรรูปด้วยมูลค่ากว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10 โดยมีตลาดส่งออกหลักกว่าร้อยละ 80 คือ จีนและเวียดนาม ตามมาด้วยฮ่องกง และไต้หวัน ขณะที่ปีเดียวกันมีมูลค่าส่งออกหอมแดง หอมหัวใหญ่ สดและแช่เย็นกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดส่งออกหอมแดงของไทยคือ อาเซียน และญี่ปุ่น
นางอรมน กล่าวเสริมว่า นอกจากการลงพื้นที่แล้ว กรมฯ ยังได้จัดเสวนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “ช่องทางรวยของสินค้าเกษตรจากเอฟทีเอ” และ “ทำอย่างไรให้สินค้าเกษตรสู่ตลาดเอฟทีเอ” ในวันที่ 18 มิถุนายน 2562 ณ โรงแรม แกลเลอรี่ ดีไซน์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งได้รับผลตอบรับอย่างดีจากเกษตรกร เป็นโอกาสได้รับทราบข้อมูลเรื่องช่องทางการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ และการทำการตลาด กรมฯ ยังได้นำทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าการตลาดมาติวเข้มวิเคราะห์สินค้าและแนะนำตลาดส่งออกที่เหมาะสมให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการ โดยเกษตรกรให้ความสนใจนำสินค้ามาวิเคราะห์และร่วมจำหน่ายในงานเสวนาอย่างคึกคัก อาทิ ข้าวเกรียบทุเรียนภูเขาไฟ แยมมัลเบอรี่ แตงโมตอปิโด ชาหอมแดง โดยกรมฯ เชื่อมั่นว่า การจัดงานครั้งนี้ ได้ช่วยทำให้เกษตรกรมองเห็นลู่ทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรของตนและขยายช่องทางการจำหน่ายไปตลาดโลกด้วยการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ โดยเฉพาะการส่งออกไปอาเซียน จีน และญี่ปุ่น ซึ่งได้ลดเลิกการเก็บภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ให้ไทยแล้ว