เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2562 ณ ท่าเทียบเรือศูนย์พัฒนาการประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAFDEC) กรมประมงนำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่เยี่ยมชม “เรือสำรวจประมงจุฬาภรณ์” กลับคืนสู่ประเทศไทย หลังออกไปปฏิบัติงานสำรวจทรัพยากรสัตว์น้ำและสิ่งแวดล้อมน่านน้ำสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ภายใต้ความร่วมมือทางการประมงระหว่างประเทศไทย ติมอร์-เลสเต และ FAO
นายวิชาญ อิงศรีสว่าง รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยหลังการนำสื่อมวลชนร่วมลงพื้นที่ทำข่าว “เรือสำรวจประมงจุฬาภรณ์” กลับเข้าฝั่งหลังได้มีการออกไปสำรวจทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเลในน่านน้ำสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ – เลสเต ซึ่งเป็นความร่วมมือด้านวิชาการและเศรษฐกิจระหว่างไทยและติมอร์ฯ ว่า ขณะนี้ ภารกิจดังกล่าวได้สำเร็จเสร็จสิ้นเรียบร้อยและทีมนักวิชาการ นักสำรวจและเจ้าหน้าที่เรือสำรวจประมงจุฬาภรณ์ของกรมประมง ได้เดินทางกลับถึงประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมาโดยสวัสดิภาพ
สำหรับการเดินทางไปติมอร์ในครั้งนี้ เป็นการสำรวจในทะเลอาณาเขตและเขตเศรษฐกิจจำเพาะของติมอร์-เลสเต มีวัตถุประสงค์เพื่อไปหาแหล่งทำประมงสำรวจและประเมินทรัพยากรสัตว์น้ำ เนื่องจากทางประเทศติมอร์ต้องการจะพัฒนาธุรกิจการประมงในประเทศ แต่ยังไม่ทราบว่าแหล่งทรัพยากรที่เอื้อต่อการทำประมงในเขตเศรษฐกิจจำเพาะมีสถานภาพอย่างไร และยังขาดความรู้ทางวิชาการด้านประมง เพื่อนำมาบริหารจัดการทรัพยากรประมงให้เกิดความยั่งยืน รวมถึงไม่ได้มีอุปกรณ์ และเครื่องมือในการสำรวจในเขตทะเลลึก จึงได้ขอความร่วมมือมายังประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความรู้ด้านวิชาการและมีประสบการณ์การสำรวจประมงทะเลลึก นอกจากนี้ ยังมีการลงนามความร่วมมือ MOU แบบทวิภาคีต่อกัน ด้วยเหตุนี้ เรือสำรวจประมงจุฬาภรณ์ จึงได้เดินทางไปสำรวจวิจัยด้านทรัพยากรประมงและสิ่งแวดล้อมทางทะเลลึกในน่านของติมอร์-เลสเต ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม – 27 กรกฎาคม 2562 รวม 61 วัน
โดยการศึกษาองค์ประกอบชนิด ขนาด ความชุกชุม และการแพร่กระจายของสัตว์น้ำขนาดใหญ่เพื่อการบริโภค รวมถึงลูกสัตว์น้ำวัยอ่อน แพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสัตว์ ด้วยเครื่องมือประมงประเภทเบ็ดราวปลาผิวน้ำ เบ็ดราวหน้าดินแนวตั้ง ลอบปลา และอวนลากกลางน้ำสำหรับสัตว์น้ำขนาดใหญ่ ใช้ถุงลากเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำวัยอ่อนและแพลงก์ตอน นอกจากนี้ ยังได้มีการสำรวจสมุทรศาสตร์ มลพิษทางทะเลและความปลอดภัยทางอาหาร มีการศึกษาลักษณะทางกายภาพของน้ำทะเลตามระดับความลึกน้ำ เช่น ค่าความเค็ม อุณหภูมิ ค่าออกซิเจนที่ละลายในน้ำ และยังได้ทำการเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำเพื่อวิเคราะห์หาปริมาณไมโครพลาสติกและโลหะหนัก รวมทั้งศึกษาปริมาณขยะทะเลและไมโครพลาสติกในน้ำทะเลด้วย
โดยจากผลการสำรวจศึกษาทรัพยากรประมงเบื้องต้นในน่านน้ำติมอร์-เลสเต พบว่าทรัพยากรปลาผิวน้ำและกลางน้ำส่วนใหญ่ เป็นปลาในเขตทะเลลึก เช่น ปลาเขี้ยวกาง รองลงมา คือ ปลากระเบน ปลาสาก และปลาจะละเม็ดน้ำลึก เป็นต้น ส่วนสัตว์น้ำวัยอ่อนและสัตว์น้ำขนาดเล็กพบมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ได้แก่ กลุ่มปลาไหล ปลาสีกุน ปลาหมึกกล้วยน้ำลึก นอกจากนี้ ทรัพยากรสัตว์น้ำหน้าดิน ที่พบมาก ได้แก่ ปลากะพง ปลาฉลาม ปลาเก๋า ปลากด และหอยงวงช้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์น้ำหน้าดินขนาดใหญ่ และเป็นสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ พบอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า sahul banks ทางด้านทิศใต้ของติมอร์
ดังนั้น การเดินทางไปตามภารกิจการสำรวจในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นความร่วมมือด้านวิชาการในการสำรวจทรัพยากรประมงให้กับประเทศติมอร์-เลสเตแล้ว อีกหนึ่งความมุ่งหมายสำคัญ คือ ประเทศติมอร์ฯ ต้องการที่จะพัฒนาอาชีพประมงในประเทศและเปิดสัมปทานใหม่ๆ ให้แก่ต่างประเทศเข้าไปลงทุนในการทำประมง และธุรกิจต่อเนื่องทางการประมง ซึ่งเป็นโอกาสอันดีของผู้ประกอบการไทยในการแสวงหาแหล่งทำประมงใหม่และใช้เป็นแนวทางในการประกอบการพิจารณาการลงทุนด้านอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมห้องเย็น โรงน้ำแข็ง การแปรรูปสินค้าประมง ฯลฯ
ส่วนภารกิจต่อไปที่จะเกิดขึ้น ประเทศติมอร์-เลสเต จะส่งเจ้าหน้ามายังประเทศไทยในการมาร่วมทำการวิเคราะห์ข้อมูลทรัพยากรที่ไปสำรวจมาร่วมกับกรมประมง รวมถึงจะมีการจัดฝึกอบรมความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับการทำประมงพาณิชย์อย่างถูกกฎหมายไม่เป็น IUU และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับเจ้าหน้าที่ของติมอร์ เพื่อนำความรู้ที่ได้กลับไปประยุกต์ใช้และพัฒนาการประมงที่ติมอร์ต่อไป อีกทั้ง ในปีหน้าจะมีการนำเรือไปสำรวจพื้นที่การทำประมงชายฝั่งให้กับประเทศติมอร์อีกด้วย ซึ่งความร่วมมือทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เชื่อมั่นว่าจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ – เลสเตได้เป็นอย่างดี และแสดงถึงบทบาทการเป็นประธานอาเซียนของประเทศไทยในปีนี้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะแสดงถึงความเป็นผู้นำด้านการป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย ประเทศไทยยังเป็นผู้นำด้านความร่วมมือทางการสำรวจและวิจัยทางวิชาการแก่ประเทศสมาชิกของอาเซียน ซึ่งแสดงถึงบทบาทการเป็นผู้นำด้านการประมงในผู้ภูมิภาคอาเซียนอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสอันดีของกรมประมง ที่จะสร้างนักสำรวจทะเลลึกรุ่นใหม่มาทดแทนบุคลากรที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว จึงถือว่าการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ เป็นการช่วยพัฒนาบุคลากรที่มีหน้าที่ในการสำรวจแหล่งประมงทะเลลึกให้ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ซึ่งเชื่อมั่นว่านักสำรวจรุ่นใหม่นี้จะช่วยเป็นกำลังหลักสำคัญในการพัฒนาการประมงต่อไปด้วย
หมายเหตุ : “เรือสำรวจประมงจุฬาภรณ์” เป็นเรือสำรวจประมงทะเลลึกของกรมประมง มีขนาดความยาว 67.25 เมตร ขนาดน้ำหนัก 1,424 ตันกรอส ระยะทำการประมง 12,000 ไมล์ทะเล ภารกิจที่ผ่านมาใช้ในการสำรวจแหล่งทำการประมงนอกน่านน้ำในหลายพื้นที่ เช่น ประเทศมัลดีฟส์ ศรีลังกา เซเชลส์ พม่า และในมหาสมุทรอินเดีย เป็นต้น