ก่อนตะวันตกดินของวันที่เสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2562 ทีมข่าว “เกษตรก้าวไกล” เดินทางไปจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้พบกับนักธุรกิจหนุ่ม “จิตรกร เผด็จศึก” ประธานศูนย์การเรียนรู้เกษตรปลอดภัยสูงตำบลบางพระ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งกำลังจอดรถลงมาดูแปลงผักที่ปลูกไว้
คุณจิตรกร เผด็จศึก เปิดเผยว่าภารกิจของเขาคือส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรและทำประโยชน์เพื่อสังคม กล่าวคือมีที่ดินอยู่ 45 ไร่ ซึ่งเป็นบ่อกุ้งเก่าไม่ได้ทำประโยชน์อะไร เนื่องจากเป็นดินเค็ม ปลูกอะไรก็ขึ้นยาก ต่อมาได้ปรึกษากับสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัด ทำให้สามารถปรุงดินให้เหมาะกับการปลูกผักได้ จึงตัดสินใจปลูกผักในระบบโรงเรือนแบบไม่พึ่งสารเคมีคือเน้นระบบเกษตรอินทรีย์แต่ยังไม่สามารถทำเป็นเกษตรอินทรีย์ได้ 100% เนื่องจากสภาพพื้นที่โดยรอบยังคงมีใช้สารเคมีอยู่ โดยรูปแบบการปลูกนั้นได้เปิดโอกาสให้เกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่มารวมกลุ่มกัน โดยที่ตนจะทำการเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยกันพัฒนา เช่น นอกจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัด ยังมีสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด สำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานสหกรณ์จังหวัด รวมทั้งเกษตรกรรุ่นใหม่ (YSF) ในจังหวัดฉะเชิงเทรา และจัดตั้งเป็นสหกรณ์พืชผักผลไม้(เกษตรปลอดภัยสูง)จังหวัดฉะเชิงเทราจำกัด เพื่อดำเนินการในเรื่องการตลาดนำการผลิต และที่ผ่านมาพืชผักผลไม้ที่ปลูกสามารถส่งการบินไทย รวมทั้งห้างโมเดิร์นเทรดชื่อดัง
“หลักการของผมคือเกษตรกรต้องมารวมกลุ่มกันอย่างเช่นการปลูกผักของเรารวมกลุ่มกันในนามกลุ่มเกษตรกรปลูกผักปลอดภัยสูงตำบลบางพระ โดยมีผมเป็นหัวหน้าและให้เช่าที่ดินปีละ 1 บาท ทำการปลูกผักในระบบโรงเรือน และเน้นการปลูกแบบอินทรีย์ ผักที่ได้จะส่งผ่านระบบสหกรณ์เพื่อจัดจำหน่ายให้กับสายการบินไทย เขาบอกว่า 70% แบ่งปันผลกำไรให้กับเกษตรกรผู้ปลูก อีก 10% แบ่งปันกำไรให้กับสังคม ถามว่าเขาได้อะไร เขาตอบว่าได้ความสุขใจได้ปลูกผักที่ปลอดภัยให้กับผู้บริโภคชาวไทย…
“ตรงนี้จริงๆแล้วเป็นที่ดินส่วนตัวผมให้เกษตรกรเช่า 10 ปี ปีละ 1 บาท รวม 10 บาท เช่าในนามของกลุ่มเกษตรธรรมชาติตำบลบางพระ โดยผมเองเป็นหัวหน้ากลุ่มลงมือทำเองเลย แล้วก็มุ้งหรือโรงเรือนเป็นส่วนที่ราชการเขาส่งเสริม เราก็มาต่อยอดออกไปเรื่อยๆ พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ จนเป็นรูปแบบปัจจุบันนี้”
จำนวนทั้งหมด 31 โรงเรือน จะทำการปลูกผักหมุนเวียน รวมทั้งปลูกเมล่อนเป็นผลไม้หลัก ซึ่งตลาดหลักนั้นจะส่งไปที่ครัวการบินไทย เช่น ผักกวางต้น และเมล่อน…โดยในเรื่องตลาดนั้นไม่มีปัญหาแต่จะต้องทำผลผลิตให้ได้คุณภาพและปลอดภัยจริงๆ
กับภารกิจที่ลงมาคลุกคลีในภาคเกษตร คุณจิตรกรมองว่า จะต้องทุ่มเทอย่างจริงๆจัง ต้องทำงานคู่กับเกษตรกร อย่าทำแค่คำพูดที่สวยหรูบนโต๊ะหรือในห้องประชุม “เราปล่อยให้เกษตรกรโดดเดี่ยวเดียวดายเขาเสียสักครั้งหนึ่งเนี่ยะ เขาก็ไม่มีกำลังที่จะสู้ต่อ เราเองเป็นผู้ประกอบการเราก็มาเป็นพี่ใหญ่ส่งเสริมเขา ทุกวันนี้เขามาทำเป็นงานผมจะให้ผลตอบแทนทุกวันเป็น 300 กว่าบาท และก็ยังได้ผักที่ปลอดภัยไปกิน ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้ และผลตอบแทนของเขาจะได้สิ้นปี เราจะคืนกำไรให้กับเกษตรกร 70% อีก 10% เราเอาไปช่วยเหลือสังคม การศึกษาต่างๆ”
“วันนี้มาดูเกษตรกรแล้ว ถ้าเกิดว่าไม่มีผู้แข็งแรงลงมาช่วยกันเกษตรกรไปยาก ทำการส่งเสริมต้องส่งเสริมกันอย่างจริงๆ สิ่งที่สำคัญเลยการทำงานนักวิชาการต้องคู่กับนักปฏิบัติ เราจะสังเกตว่าหลายๆที่คุยกันดีหมด ภาพดีสวยงาม แต่ขาดการปฏิบัติ ต้องจบที่การปฏิบัติจริง”
ถามคุณจิตรกรว่า สิ่งที่มุ่งหวังคืออะไร เพราะการทำงานในแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรและสังคมแบบนี้ไม่น่าจะมีกำไร เขาตอบว่า “สิ่งสุดท้ายที่สุดที่เราต้องการคือความสุข ความสุขที่ได้มันเป็นกำไรมหาศาล เราจะได้กำไรสักร้อยล้านแต่ถ้าเราไม่มีความสุขมันก็ไม่มีประโยชน์ แต่วันนี้สิ่งที่เราต้องการคือความสุขของเกษตรกร ความสุขของคนที่กินผักของเราแล้วไม่ป่วยเป็นโรค มันเป็นความสุขของตัวเราที่ต้องการคืนสู่ธรรมชาติ ความสุขอันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ มันคือกำไรชีวิต ในหลวงท่านบอกแล้วนะว่ากำไรคือขาดทุน รัฐบาลเองไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค กระทรวงสาธารณสุขเสียงบประมาณมหาศาลเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลเพื่อที่จะมารักษามาแก้ไขปัญหาเรื่องของยาฆ่าแมลงอะไรต่างๆ แต่ของเรานี้กินแล้วไม่ป่วยแน่นอนครับ”
สำหรับ ประวัติของคุณจิตรกรนั้น เป็นเจ้าของบริษัทไฟแนนซ์ขายรถยนต์ ทำธุรกิจโลจิสติกส์ ทำคลังสินค้า ทำอสังหาริมทรัพย์ โดยมีความตั้งใจในชีวิตว่า จะเดินตามรอยในหลวงรัชกาลที่ จะทำการส่งเสริมอาชีพเกษตรกรและช่วยเหลือสังคมตลอดไป
“ติดต่อผมได้ตลอดเวลาที่โทร. 0819832850 ถ้าเป็นเรื่องของส่วนรวมทำเพื่อให้เกิดความยั่งยืน เพื่อเกษตรกรเจริญรุ่งเรือง…ผมเป็นลูกหลวงพ่อโสธรต้องบอกว่าเราก้าวไปด้วยกัน ไปได้ไกลแน่นอนครับ” คุณจิตรกร กล่าวในที่สุด