กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เปิดเวทีเสวนา นำผู้เกี่ยวข้องกว่า 1,000 คน รับทราบแนวทางมาตรฐานการเติมน้ำใต้ดินของประเทศไทยเพื่อร่วมขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติตามหลักวิชาการ ป้องกันการปนเปื้อนชั้นน้ำบาดาลและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดการประชุม เสวนา “การเติมน้ำใต้ดินของประเทศไทย” พร้อมส่งมอบ “เกณฑ์และแนวทางการเติมน้ำใต้ดินของประเทศไทย” ให้กับ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กองทัพบก กองทัพไทย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สถาบันการศึกษา จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ นำไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานเติมน้ำใต้ดินต่อไป
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า จากการที่ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้ลดลง ทำให้ปริมาณการซึมของน้ำลงสู่ชั้นน้ำบาดาลน้อยลง เพราะเมื่อฝนตกลงมา แต่ไม่มีต้นไม้คอยดูดซับชะลอการไหลของน้ำ จึงทำให้น้ำท่าไหลลงสู่แหล่งน้ำผิวดิน แม่น้ำลำคลองอย่างรวดเร็ว และจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฝนตกหนักช่วงเวลาสั้นๆ แล้วทิ้งช่วง มาไวไปไวทำให้ไม่มีเวลานานพอที่จะหน่วงน้ำฝนให้ไหลซึมลงสู่น้ำใต้ดินตามธรรมชาติ ปริมาณการเพิ่มเติมน้ำสู่ชั้นน้ำบาดาล จึงน้อยลง เมื่อมีภาวะฝนทิ้งช่วงและปริมาณฝนลดลง ทำให้ปริมาณน้ำที่กักเก็บในเขื่อนและแหล่งน้ำธรรมชาติมีปริมาณลดลงด้วย เกิดภาวะภัยแล้งเกือบทุกภูมิภาคของประเทศ ประกอบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจทำให้น้ำบาดาลซึ่งเป็นแหล่งน้ำต้นทุนที่สำคัญในการอุปโภคบริโภคและกระบวนการผลิตของภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ได้ถูกสูบขึ้นมาใช้เพิ่มมากขึ้นในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ระดับน้ำบาดาลลดลงอย่างต่อเนื่อง และชั้นน้ำบาดาลมีโอกาสเสียสมดุลตามธรรมชาติ
ดังนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กำหนดแนวทางแก้ไขด้วยวิธีการเติมน้ำใต้ดิน หมายถึง นำน้ำที่เหลือใช้ในช่วงน้ำท่วมหลากหรือจากน้ำฝนที่ตกลงมาเติมลงสู่ชั้นน้ำบาดาล ด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และนำกลับมาใช้ใหม่ในช่วงเวลาที่ต้องการ เป็นการช่วยธรรมชาติฟื้นฟูชั้นน้ำบาดาล แก้ไขปัญหาการลดระดับลงของชั้นน้ำบาดาลให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ช่วยระบายน้ำและลดปริมาณน้ำ ที่สำคัญรูปแบบและวิธีการเติมน้ำใต้ดินที่เหมาะสม จะเพิ่มความคุ้มค่าและประหยัดงบประมาณ ทั้งนี้ การเสวนา “การเติมน้ำใต้ดินของประเทศไทย” ครั้งนี้ ได้เชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจากทั่วประเทศ ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด กลุ่มผู้ใช้น้ำจากภาคส่วนต่างๆ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่ดูแลรับผิดชอบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ รวมแล้วกว่า 1,000 คน มารับทราบนโยบายแนวทางมาตรฐานการเติมน้ำใต้ดินของประเทศไทย รวมทั้งร่วมเสวนาการขับเคลื่อนแนวทางมาตรฐานการเติมน้ำใต้ดินของประเทศไทยไปสู่การปฏิบัติ เพื่อสื่อสารและส่งเสริมให้มีการนำองค์ความรู้เรื่อง “การเติมน้ำใต้ดิน” ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ มีมาตรฐาน ป้องกันไม่ให้ชั้นน้ำบาดาลเกิดการปนเปื้อน และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต ไปบอกกล่าวและเผยแพร่กลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ได้รับทราบต่อไป
ด้าน นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กล่าวว่า ที่ผ่านมามีหลายภาคส่วนและหลายหน่วยงานมีการกล่าวถึงและดำเนินการในเรื่องของการเติมน้ำใต้ดิน ประกอบกับประชาชนมีความเชื่อว่าการทำธนาคารน้ำใต้ดินสามารถแก้ไขปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมได้ จึงทำให้นิยมทำธนาคารน้ำใต้ดินกันอย่างแพร่หลาย โดยไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดได้ว่า ธนาคารน้ำใต้ดินสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้จริง และก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอื่นหรือไม่ ซึ่งยังไม่มีการติดตามประเมินผล ดังนั้น ในการเสวนาในวันนี้ จึงเป็นบทสรุปที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมทำความเข้าใจและให้การยอมรับในหลักเกณฑ์และแนวทางการเติมน้ำใต้ดินของประเทศไทย ที่มีเนื้อหาครอบคลุมในเรื่องพื้นที่ และรูปแบบวิชาการที่เหมาะสม แหล่งน้ำที่จะใช้เติมและคุณภาพน้ำทั้งก่อนและหลังการเติม โดยมีมาตรฐานหรือกลไกการกำกับดูแล รวมทั้งประเมินผลกระทบและการบริหารจัดการในระยะยาวต่อไป