เพราะทุกวิกฤตที่ต้องเผชิญจะหล่อหลอมเกษตรกรให้ยิ่งแข็งแกร่ง บริษัท ยารา (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย “ปุ๋ยยารา” ปุ๋ยคุณภาพพรีเมี่ยมจากนอร์เวย์ ต้นตำรับเรือใบไวกิ้งเพียงหนึ่งเดียวในไทย ถือโอกาสครบรอบ 115 ปี ตอกย้ำภารกิจในการยืนหยัดเคียงคู่เกษตรกรไทยด้วยแคมเปญ “115 ปี ปุ๋ยยารา เคียงข้างเกษตรกรนักสู้” มุ่งให้ความรู้และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพื่อเพิ่มผลผลิตอย่างต่อเนื่อง พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรให้ผ่านพ้นวิกฤตภัยแล้ง ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ และโควิด-19 ไปด้วยกัน
มิสเตอร์เมดิ เซนท์-อังเดร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยารา (ประเทศไทย) จำกัด และรองประธานกลุ่มธุรกิจประเทศไทย และประเทศพม่า กล่าวว่า “ในโอกาสที่ ‘ปุ๋ยยารา’ เดินทางเข้าสู่การครบรอบ 115 ปี ในระดับโลก และ 48 ปีในการจำหน่ายปุ๋ยยาราในประเทศไทยในปีนี้ ซึ่งนับเป็นปีที่ยากลำบากของเกษตรกร เป้าหมายหลักของเราจึงมิใช่เพียงแค่การเฉลิมฉลอง แต่เป็นการช่วยเหลือดูแลเกษตรกรให้ผ่านพ้นวิกฤตต่าง ๆ ไปด้วยกัน ทั้งวิกฤตโควิด-19 ตลอดจนสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันรุนแรงที่คุกคามโลกอย่างต่อเนื่องคือบทพิสูจน์ว่าไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น ภาคการเกษตรก็ยังคงเป็นหัวใจหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการผลิตอาหารเพื่อดูแลปากท้องของประชาชน เราจึงอยากใช้โอกาสนี้ในการยกย่องคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของเกษตรกร ด้วยการสานต่อและยกระดับความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการเกษตรให้ลุกขึ้นและเดินหน้าต่อไปอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน”
มิสเตอร์เมดิเล่าถึงความเป็นมาของยารากับประเทศไทยว่า “ยารามีความผูกพันที่แน่นแฟ้นกับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน เรามีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนภาคเกษตรกรรมไทยมาเป็นเวลากว่าศตวรรษ นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ประพาสยุโรปและทรงนำปุ๋ยยาราจากโรงงานผลิตที่ประเทศนอร์เวย์กลับมาพระราชทานให้กับพสกนิกรเพื่อนำไปปลูกพืชทำกิน จนอาจจะสันนิษฐานได้ว่าปุ๋ยยาราเป็นปุ๋ยธาตุอาหารระดับโลกยี่ห้อแรกที่คนไทยได้มีโอกาสใช้”
ยาราเป็นบริษัทปุ๋ยแห่งแรกของโลกที่บุกเบิกนวัตกรรมการสกัดธาตุไนโตรเจนจากอากาศมาผลิตเป็นปุ๋ยธาตุอาหารแบบคอมปาวด์คุณภาพสูง หรือปุ๋ย NPK ซึ่งภายหลังถูกนำมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ปุ๋ยธาตุอาหารหลากหลายสูตร สำหรับพืชหลากหลายชนิด ปัจจุบัน ยารามียอดขายอันดับ 1 โดยเฉพาะในกลุ่มพืชเศรษฐกิจหลัก 5 ชนิดในประเทศไทย ได้แก่ ยางพารา ปาล์ม ทุเรียน ลำไย และผักใบ และหลังจากคลุกคลีกับเกษตรกรไทยมาเกือบ 50 ปี ยาราจึงมีความเข้าใจในความต้องการที่เปลี่ยนไปของเกษตรกรไทยอยู่เสมอ ในปีนี้ยาร่าจึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ ยารามีร่า 23-8-8 สำหรับข้าวโพดไร่และอ้อย ยาราวีตา สำหรับข้าว และ ยาราเรก้า เพื่อตอบสนองความต้องการของเกษตรไทยด้วยทางเลือกใหม่ในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร
มิสเตอร์เมดิ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของยาราว่า “ประเทศไทยแม้จะมีศักยภาพสูงในด้านการเกษตร แต่ยังนำเข้าข้าวโพดไร่สำหรับเลี้ยงสัตว์มาจากต่างประเทศปีละจำนวนมาก ยาราจึงผลิตและนำเข้าปุ๋ยสูตรใหม่ ยารามีร่า สูตร 23-8-8 สำหรับการปลูกข้าวโพดในประเทศไทยโดยเฉพาะ เพื่อส่งเสริมเกษตรกรไทยให้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศให้มากขึ้น ในราคาที่เข้าถึงได้สำหรับเกษตรกรรายย่อย อีกทั้งยังแนะนำ ยาราวีต้า ข้าว ขวดสีม่วง ซึ่งเป็นธาตุอาหารรองและเสริมสำหรับฉีดพ่นทางใบ 2 อิน 1 สูตรเข้มข้นพิเศษ ที่มีทั้งธาตุอาหารและสารเปียกใบในขวดเดียว มุ่งเจาะกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ตลอดจนผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ยาราเรก้า ซึ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยเม็ดสำหรับระบบน้ำที่เน้นเจาะตลาด ภาคการเกษตรกรีนเฮาส์ โรงเรือนเกษตร หรือการเพาะปลูกพืชที่ให้ปุ๋ยในระบบน้ำหยด ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้ในฤดูแล้งที่เกษตรกรต้องควบคุมการให้น้ำแก่พืชอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด”
มิสเตอร์เมดิ ย้ำว่า “ยาราดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับเกษตรกรเป็นหลัก (Farmer Centric) เราไม่ได้เป็นเพียงผู้ขายผลิตภัณฑ์ให้กับเกษตรกรเท่านั้น แต่เราศึกษาและทำความเข้าใจพฤติกรรมของเกษตรกรและปัจจัยแวดล้อมอย่างลึกซึ้ง แล้วนำความรู้ความเชี่ยวชาญมาถ่ายทอดให้กับเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืน โดยบริษัทยาราทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยได้จัดตั้งหน่วยงาน Digital Farming ที่ทำหน้าที่หยิบยกเอาปัญหาที่เกษตรกรประสบมาวิเคราะห์และพัฒนาเป็นโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ตามความต้องการที่แตกต่างกันไปโดยเฉพาะ
ยาราเป็นบริษัทปุ๋ยรายแรกในประเทศไทยที่นำเอาดิจิทัลโซลูชั่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติกับภาคเกษตรกรโดยประสานความร่วมมือกับพันธมิตรองค์กรธุรกิจชั้นนำ อาทิ ร่วมมือกับบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่อย่างดีแทคในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่เปิดโอกาสให้เกษตรกรได้เข้าถึงองค์ความรู้ด้านธาตุอาหารและการเกษตร และนอกจากนี้ ยารายังจัดทำแอปพลิเคชั่น “ยาราพรีเมี่ยมคลับ” สำหรับให้ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อยติดตั้ง เพื่อใช้ระบบสะสมแต้มจากยอดซื้อแบบอัตโนมัติแล้วนำมาแลกเป็นส่วนลดในรอบถัดไปได้อีกด้วย
คุณปัญชลี วรรณพฤกษ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและสื่อสาร บริษัท ยารา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ท่ามกลางวิกฤตมากมายทั้งภัยแล้ง ผลผลิตราคาตกต่ำ และการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยาราได้สร้างสรรค์กิจกรรมมากมายเพื่อช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เกษตรกรไทย อาทิ การสร้างช่องทางการตลาดออนไลน์ในแคมเปญ “Safe #เกษตรกรนักสู้ ยารารับฝากสวน” เพื่อช่วยเป็นตลาดให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบได้ผ่านเฟสบุ๊คยาราประเทศไทย โครงการบริจาคปุ๋ยให้กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วง ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาภาระของเกษตกรที่ได้รับผลกระทบจากภาวะผลผลิตล้นตลาดจากวิกฤติโควิด-19 และกิจกรรมเชิญชวนเกษตรกรมาประกวดร้องเพลง ในช่วงสกู๊ปของรายการ ร้องได้ให้ล้าน ทางช่องไทยรัฐทีวี และการแข่งขันโหวตผู้ชนะทางเฟซบุ๊ค ยารา ประเทศไทย ตลอดเดือนกรกฏาคม นอกจากนี้ ยารายังช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ที่ในปีนี้ประสบปัญหาราคายางตกต่ำที่สุดในรอบหลายปี ด้วยการปรับราคาปุ๋ยให้ลดลงเป็นประวัติการณ์ เพื่อลดต้นทุนให้กับเกษตรกร อีกด้วย
คุณปัญชลี ยังได้กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญการสื่อสาร “115 ปี ปุ๋ยยารา เคียงข้างเกษตรกรนักสู้” ว่า “ในด้านการสื่อสาร ปีนี้เรามุ่งเน้นสร้างความแตกต่างให้กับคุณค่าของแบรนด์ปุ๋ยยารา มากกว่าการขายสินค้าเหมือนที่ปุ๋ยทั่วๆไปทำ ซึ่งถือเป็นกุลยุทธ์ที่เป็นปรากฏการณ์ที่แตกต่างจากปุ๋ยยี่ห้ออื่นๆ ในไทยอย่างสิ้นเชิ้ง ยาราได้จัดทำภาพยนตร์โฆษณาในรูปแบบของมิวสิควิดีโอเพลง ‘เกษตรกรนักสู้’ ซึ่งขับร้องโดยศิลปินแนวเพลงสร้างกำลังใจ ปู-พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ และราชินีเพลงลูกทุ่งตลอดกาล สุนารี ราชสีมา ซึ่งทั้งสองศิลปินเป็นระดับตำนานที่ได้รับความนิยมในกลุ่มเกษตรกรและคนไทยมาอย่างยาวนาน โดยมีเนื้อหาเพลงและดนตรีที่มีความหมายในการเชิดชู และสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่พี่น้องเกษตรกรไทยที่กำลังต่อสู้ฝ่าฟันวิกฤตอยู่ทุกวัน โดยได้สื่อสารผ่านโฆษณาทางโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียงที่เป็นสื่อที่นิยมของเกษตรกรไทย สื่อนิตยสาร และช่องทางออนไลน์เพื่อเจาะสู่กลุ่มเกษตกรรุ่นใหม่ และสาธารณะชนอีกด้วย”
กลยุทธ์และกิจกรรมต่างๆของยาราในปีนี้เป็นดั่งคำมั่นสัญญาของยาราในโอกาสครบรอบ 115 ปี ที่จะยืนหยัดเคียงข้างและเชิดชูพี่น้องเกษตรกร และภาคเกษตรกรรมให้กลับมายืนหยัดอย่างแข็งแกร่ง สามารถก้าวผ่านวิกฤต และท้ายที่สุดจะช่วยผลักดันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้กลับมาฟื้นตัวเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน