ที่ประชุม ครม.มีมติ 25 ส.ค.63 อนุมัติการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 อัตราไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกิน 25 ไร่/ครัวเรือน โดยให้ฟื้นฟูการผลิตลำไยที่ได้รับผลกระทบด้านการผลิตและตลาดจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 และต้องขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรภายใน 15 ก.ย.นี้
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ลำไยเป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย เนื่องจากมีศักยภาพการผลิตค่อนข้างสูง โดยในปี 2562 มีผลผลิตจำนวน 1,011,276 ตัน มูลค่าการส่งออกลำไยสด 583,297 ตัน คิดเป็น 20,812 ล้านบาท และลำไยอบแห้ง 164,575 ตัน คิดเป็น 8,780 ล้านบาท ตลาดหลักที่สำคัญ ได้แก่ จีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งจากผลกระทบด้านสภาพอากาศที่ร้อนแล้งส่งผลให้ลำไยมีการออกดอกและติดผลมากแต่ผลลำไยไม่ได้คุณภาพ รวมทั้งเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ชาวสวนลำไยได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 25 สิงหาคม 2563 ได้เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ที่ได้รับแจ้งจากสภาอาชีพเกษตรกร และมอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรในฐานะเลขานุการ Fruit Board เสนอโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 เพื่อช่วยเหลือชาวสวนให้สามารถฟื้นฟูการผลิตลำไยที่ได้รับผลกระทบทั้งด้านการผลิตและการตลาด รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้มีแนวทางปฏิบัติต่อสวนลำไยเพื่อประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน เป้าหมายของโครงการจะต้องเป็นเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรทุกครัวเรือน ประมาณ 200,000 ครัวเรือน พื้นที่ไม่เกิน 1,200,000 ไร่ และเป็นพื้นที่ลำไยที่ให้ผลผลิตแล้ว (อายุต้นลำไยตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป) อัตราไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ พร้อมเน้นย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนลำไยอย่างทั่วถึง โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการทุจริตและให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกรชาวสวนลำไยมากที่สุด
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า สำหรับเงื่อนไขการรับแจ้งยืนยันสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเยียวยาชาวสวนลำไย ปี 2563 เกษตรกรที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องมีสัญชาติไทย และบรรลุนิติภาวะแล้ว เป็นหัวหน้าครัวเรือนที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกลำไยกับกรมส่งเสริมการเกษตรภายในวันที่ 15 กันยายน 2563 และในกรณีที่เป็นเกษตรกรซึ่งเคยขึ้นทะเบียนเกษตรกรไว้ก่อนหน้านี้แล้ว (ก่อนมีมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 25 สิงหาคม 2563) ขอให้มาปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันภายในวันที่ 15 กันยายน 2563 สำหรับเกษตรกรรายใหม่ที่ยังไม่เคยขึ้นทะเบียนเกษตรกรมาก่อน หากเกษตรกรประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ ต้องมาขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กันยายน 2563 เช่นเดียวกัน โดยต้องเตรียมเอกสารและหลักฐานการขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้พร้อม ได้แก่ บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สำเนาเอกสารสิทธิ์ (ถ้ามี) สำหรับทะเบียนบ้านที่นำมาขึ้นทะเบียนเกษตรกรจะต้องมีการกำหนดบ้านเลขที่ และกรณีที่ย้ายเข้าทะเบียนบ้านใหม่ ต้องดำเนินการตามเงื่อนไขของกระทรวงมหาดไทย ก่อนวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ส่วนการจ่ายเงินให้เกษตรกรจะโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงที่เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งจะดำเนินการตามกรอบระยะเวลาโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2563