สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ร่วมกับองค์กรเครือข่าย จัดอบรมโครงการ AgTech4OTOP มุ่งสร้างการตลาดรูปแบบใหม่ให้สินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น รวมพล 10 สุดยอดสตาร์ทอัพด้านการเกษตร ร่วมสร้างสรรค์ พัฒนาศักยภาพทางการตลาด 50 สินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นจากทั่วประเทศ หวังเชื่อมโยงผู้ผลิตสินค้าเกษตรสู่ผู้บริโภคในวงที่กว้างขึ้น สร้างความมั่นคงให้เศรษฐกิจชุมชน
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวถึงการเปิดอบรมบ่มเพาะโครงการสร้างตลาดรูปแบบใหม่จากสตาร์ทอัพด้านการเกษตรสำหรับกลุ่ม OTOP เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น หรือ AgTech4OTOP ว่า เป็นโครงการที่มุ่งสร้างสรรค์ตลาดรูปแบบใหม่ให้กับสินค้า OTOP เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถพบกับผู้บริโภคได้ในวงที่กว้างขึ้น เป็นการสนับสนุนให้สินค้า OTOP เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น ซึ่งมีลักษณะที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์สามารถสร้างมูลค่า และมีโอกาสในการทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น อันจะส่งผลให้เกิดการสร้างสรรค์เศรษฐกิจในระดับชุมชน
“เกษตรกรรุ่นใหม่นั้นหมายถึงเกษตรกรที่สามารถดึงเอานวัตกรรมมาใช้ประโยชน์ได้ โดยไม่เกี่ยวกับว่าเป็นคนวัยใด ซึ่งที่ผ่านมาเกษตรกรมักจะอยู่ในฐานะเป็นผู้รับเอานวัตกรรมไปใช้งาน แต่โจทย์ของวันนี้คือเกษตรกรจะต้องมาร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเอง โดยโครงการฯ นี้จะให้เกษตรกรจับคู่กับสตาร์ทอัพด้านการเกษตร แล้วเรียนรู้ ทดสอบ และใช้เครื่องมือของสตาร์ทอัพในการพัฒนาหรือต่อยอดธุรกิจของตัวเอง ถือเป็นการพัฒนาตลาดรูปแบบใหม่ที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและเครือข่ายในการทำงานเพื่อรองรับพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในยุค New Normal ที่มีการสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์กันเพิ่มมากขึ้น”
ด้าน คุณมณฑา ไก่หิรัญ ผู้จัดการส่งเสริมนวัตกรรม NIA โดยศูนย์สร้างสรรค์ธุรกิจนวัตกรรมการเกษตร (Agro Business Creative Center: ABC Center) กล่าวเพิ่มเติมว่า เอบีซี เซนเตอร์ เป็นแพลตฟอร์มกลางเชื่อมโยงประสานงานและขับเคลื่อนให้เกิดการสร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรมการเกษตร มีแนวทางในการสร้างสตาร์ทอัพด้านการเกษตร ที่จะเป็นเสมือนนักรบเศรษฐกิจรุ่นใหม่ของประเทศ ซึ่งสตาร์ทอัพเองก็ต้องการที่จะเชื่อมโยงกับเกษตรกรอยู่แล้ว โดยโครงการนี้เริ่มต้นกับสตาร์ทอัพเกษตรในกลุ่มด้านการตลาดเป็นหลัก แล้วคัดเลือกเกษตรกรในกลุ่ม OTOP เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น จำนวน 50 รายจากทั่วประเทศ เข้ามาร่วมโครงการฯ โดยสตาร์ทอัพแต่ละรายที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มการตลาดจะมีบทบาทในการช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถพัฒนาสินค้าและเพิ่มศักยภาพด้านการตลาดของสินค้าหรือธุรกิจตัวเองได้มากขึ้น
“สตาร์ทอัพจะทำหน้าที่สำคัญคือ เข้าไปร่วมพัฒนาสินค้าร่วมกับเกษตรกรด้วย เช่น การเข้าไปช่วยสร้างเรื่องราวให้กับสวนหรือผลิตภัณฑ์ การสร้างความแข็งแกร่งให้กับตราสินค้าหรือแบรนดิ้ง เป็นต้น รวมไปถึงการสร้างช่องทางการตลาดเชื่อมโยงกับตลาดทั้งในระดับผู้บริโภค และกลุ่มธุรกิจ เช่น ร้านค้า โรงแรมและกลุ่มแปรรูปธุรกิจเกษตร ตลอดจนสร้างตลาดต่างประเทศ ซึ่งสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้ง 10 รายก็จะมีวิธีการทำงานและแนวทางการพัฒนาที่แตกต่างกัน ซึ่งจะต้องพิจารณาจากปัญหาหรือศักยภาพของเกษตรกรเป็นหลักด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ทางโครงการฯ ได้มีการปูพื้นฐานในเรื่องแนวทางการตลาดใหม่ๆ ให้กับเกษตรกร และพื้นฐานในด้านเทคนิคการสร้างการเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมทั้งแนวทางการสร้างมูลค่าจากเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นให้กับเหล่าสตาร์ทอัพไปบ้างแล้ว ซึ่งเมื่อให้สองกลุ่มนี้ได้มาจับคู่กัน ก็จะทำให้เกิดการพัฒนารูปแบบเพื่อสร้างแนวทางการตลาดใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็วขึ้น”
นุ่ม-วรพชร วงษ์เจริญ หนึ่งในเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ AgTech4OTOP เปิดเผยถึงความคาดหวังและสิ่งที่ได้รับจากการเข้าร่วมโครงการฯ นี้ว่า ทำให้มีโอกาสเรียนรู้ด้านการตลาดรูปแบบใหม่ผ่านแพลตฟอร์มของสตาร์ทอัพด้านการเกษตร ทำให้เกิดแนวคิดในการพัฒนาสินค้า รวมไปถึงรูปแบบการทำตลาดเพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น ซึ่งสินค้าของตัวเองนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจากพืชท้องถิ่นของจังหวัดจันทบุรี คือ “ส้มมะปี๊ด” ที่นำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยส้มมะปี๊ดจะมีคุณสมบัติที่ดีเด่นคือ มีวิตามินซีสูง ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย โดยมีแนวทางการทำตลาดแบบเดิมที่ทำอยู่ คือการขายผ่านเฟซบุ๊กเป็นหลัก การเข้าร่วมอบรมในโครงการฯ นี้ นอกจากจะทำให้มีช่องทางการตลาดใหม่แล้ว ยังทำให้เกิดไอเดียในการพัฒนารูปแบบของผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาด และกระตุ้นผู้บริโภคด้วย
ด้าน หนึ่ง-ธิติพันธ์ บุญมี ผู้บริหารแพลตฟอร์ม Ali Farm แพลตฟอร์มการตลาดที่รวบรวมผู้ซื้อและผู้ผลิตเข้ามาอยู่ในระบบเดียวกัน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงตลาดและการซื้อขาย และเป็น 1ใน 10 สตาร์ทอัพที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯ นี้ กล่าวถึงบทบาทของแพลตฟอร์ม Ali Farm ว่าเป็นระบบที่ถูกออกแบบมาให้เชื่อมโยงในส่วนต่างๆ สามส่วน คือ 1.กลุ่มผู้ผลิต ทั้งที่เป็นเกษตรกรรายเดี่ยว กลุ่มวิสาหกิจชุมชน หรือผู้ประกอบการเกษตรรายใหญ่ 2.กลุ่มผู้จำหน่ายปัจจัยการผลิต เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย สารเคมี ผู้ให้บริการขนส่ง เป็นต้น และ 3.กลุ่มผู้ซื้อ ที่มีการแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มโมเดิร์นเทรด กลุ่มผู้ประกอบการ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม และกลุ่มรวบรวมผลผลิต ซึ่งปัจจุบันระบบได้มีการนำร่องดำเนินการแล้วในกลุ่มโมเดิร์นเทรด โดยมียอดการซื้อขายในระบบของกลุ่มผลผลิตประเภทพืชผักได้มากกว่า 300 ตันต่อเดือน คิดเป็นมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท สามารถช่วยให้เกษตรกรวางแผนการปลูกพืชล่วงหน้า และบริหารจัดการพื้นที่เพื่อให้เกิดรายได้ที่มั่นคงทุกเดือน โดยเฉลี่ยประมาณ 20,000 บาทต่อคน การได้เข้ามาร่วมอบรมและพัฒนาสร้างสรรค์ตลาดรูปแบบใหม่ โดยจับคู่กับเกษตรกรในโครงการ AgTech4OTOP นอกจากจะทำให้สตาร์ทอัพได้เรียนรู้ และรับทราบปัญหา หรือความต้องการของเกษตรกรกลุ่ม OTOP เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและออกแบบเครื่องมือที่ใช้ในการทำตลาดร่วมกันอย่างเหมาะสมแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาเกษตรกรกลุ่มสินค้า OTOP เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น ให้สามารถสร้างสรรค์ตลาดรูปแบบใหม่ที่จะนำไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชุมชนด้วย