เกษตรกรคนรุ่นใหม่เมืองน่าน โชว์ผลงานเด็ด ใช้เวลา 8 ปีพัฒนามะม่วงหิมพานต์ลูกผสมพันธ์ใหม่ ให้ผลผลิตสูงเป็น 2 เท่า เมล็ดจัมโบ้ผลผลิตสูง เติบโตได้ดีในพื้นที่แห้งแล้ง อายุ 5 ปี ทำเงิน 3 พันบาทต่อต้น หวังปั้นเป็นพืชเกษตรอัตลักษณ์ใหม่ของน่าน พร้อมชี้ไทยตัองเสียเงินนำเข้ามล็ดถึง 3 พันล้านบาท
นายขจร ปั่นวงศ์ เกษตรกรวัย 33 ปี เจ้าของแคชชิว นัท ริช กรุ๊ป ตั้งอยู่เลขที่ 320 หมู่ 10 ตำบลกลางเวียง อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยต้องมีการนำเข้าเมล็ดมะม่วงหิมพานต์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม คิดเป็นมูลค่าถึง 3,000 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากปริมาณผลผลิตมะม่วงหิมพานต์ที่เกษตรกรไทยปลูกภายในประเทศไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ จากปริมาณความต้องการดังกล่าว จึงทำให้เกิดความสนใจในการปลูกมะม่วงหิมพานต์เพื่อผลิตเมล็ดจำหน่าย จึงเริ่มศึกษา และปลูกมะม่วงหิมพานต์มาตั้งแต่ ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน
“มะม่วงหิมพานต์ เรียกได้ว่า เป็นพืชเศรษฐกิจที่ถูกกลืม โดยเมื่อ 12 ปีที่แล้วประเทศไทยเคยเป็นผลิตและส่งออกเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ อันดับที่ 6 ของโลก แต่ปัจจุบันไม่ติดอันดับ และที่สำคัญเวียดนาม กลายเป็นผู้ส่งออกเมล็ดมะม่วงหิมพานต์อันดับหนึ่งของโลกในเวลานี้ ทั้งที่มีพื้นที่ปลูกมะม่วงหิมพานต์มีน้อยมาก โดยตลาดใหญ่อยู่ที่จีน ดังนั้นการที่มะม่วงหิมพานต์กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่ถูกละเลย ไม่ได้รับการพัฒนาส่งเสริมจากรัฐบาล เกษตรกรที่ปลูกขาดการพัฒนาเทคโนโลยีการปลูการบริหารจัดการดูแลแปลง เช่น การพัฒนาสายพันธ์ที่ให้ผลผลิตสูง เมล็ดมีคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ เช่น เกรด เอ และเกรดจัมโบ้ ซึ่งมะม่วงหิมพานต์พันธ์ดั้งเดิมที่เกษตรกรปลูกกันมาจนถึงวันนี้ จึงไม่สามารถตอบโจทย์ที่ต้องการของตลาด มีคุณภาพที่ต่ำให้ผลผลิตน้อย ไม่สามารถสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อยังชีพ รวมถึงการถูกกดราคารับซื้อจากพ่อค้าคนกลาง ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอาชีพการปลูกที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและใส่ใจ”
นายขจร กล่าวต่อไปว่า ดังนั้นในการทำสวนมะม่วงหิมพานต์ทีจังหวัดน่าน จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาสายพันธ์เป็นอันดับแรก ด้วยการมุ่งพัฒนาสายพันธ์ใหม่ ซึ่งใช้เวลาในการปรับปรุงพันธ์นานถึง 8 ปี จนมะม่วงหิมพานต์ลูกผสมพันธ์ใหม่ ซึ่งยังที่มีคุณสมบัติเด่น ทั้งปลูกง่าย ให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อต้นสูง โดยต้นที่ให้ผลิต อายุ 5 ปีจะให้ผลผลิตสูงถึง 20 กิโลกรัมต่อต้น คิดเป็นจำนวนเมล็ดอยู่ที่ประมาณ 150 เมล็ดต่อกิโลกรัม ขณะที่พันธ์ดั้งจะมีจำนวนเมล็ดอยู่ประมาณ 200 กว่าเมล็ดต่อกิโลกรัม อีกทั้งยังมีคุณภาพเมล็ดอยู่ในเกรดคุณภาพ ระดับ เกรดเอ และจัมโบเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งยังสามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่แห้งแล้ง มีอายุยืนให้ผลผลิตได้นานถึง 100 ปี เป็นต้น ซึ่งข้อมูลทางสถิติที่เก็บมาพบว่า มะม่วงหิมพานต์ลูกผสมพันธ์ใหม่จะสร้างรายได้ต่อต้นต่อปีเมื่ออายุให้ผลผลิตเต็มที่ประมาณ 3,000 บาท เมื่อคิดในราคาขายได้ระหว่างกิโลกรัมละ 29-40 บาท แล้วแต่คุณภาพเมล็ด
“สำหรับด้านการตลาด เพื่อให้มีตลาดรองรับที่แน่นอน และยั่งยืน จึงได้มีการประสานโดยตรงกับโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เมล็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นวัตถุดิบ จึงทำให้ตัดปัญหาพ่อค้าคนกลาง และเกิดการซื้อผลผลิตในราคาที่ยุติธรรมแก่เกษตรกรโดยราคารับซื้อภายในกลุ่มเกษตรกรที่ร่วมปลูก โดยทางสวนทำหน้าที่เป็นผู้รวบรวมอยู่ที่กิโลกรัมละ 29 บาทในกรณีเมล็ดเกรด บี และซี และที่กิโลกรัมละ 40 บาท กรณีเมล็ดเกรด เอ และจัมโบ
นายขจร กล่าวต่อไปว่า จากการกำหนดแนวทางดำเนินงานที่ชัดเจน มีการแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคอย่างเด่นชัด จึงทำให้ขณะนี้มีเกษตรกรในเขตจังหวัดน่านได้ร่วมปรับเปลี่ยนพื้นที่ที่เคยปลูกข้าวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พื้นที่แห้งแล้งขาดแคลนน้ำ รูปแบบเกษตรผสมผสานที่มีมะม่วงหิมพานต์เป็นพืชสร้างรายได้แบบรายปีอีกทั้งเป็นการคืนพื้นที่สีเขียวด้วยต้นมะม่วงหิมพานต์ให้กับจังหวัดน่าน ด้วยการปลูกมะม่วงหิมพานต์ลูกผสมสายพันธ์ใหม่รวมประมาณ 1,000 ไร่ ภายใต้เป้าหมายในอนาคตที่ 5,000 ไร่ เพื่อตอบสตองความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ที่มีทั้งการส่งให้กับโรงงานโดยตรง และการนำมาแปรรูปเป็นมะม่วงหิมพานต์คั่วเกลือสินเธาว์จากอำเภอบ่อเกลือจำหน่าย
“ตอนนี้การปลูกมะม่วงหิมพานต์เป็นไปด้วยดี และมีแผนที่จะสร้างให้เป็นพืชเกษตรอัตลักษณ์ที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของจังหวัดน่าน อีกทั้งยังได้รับความยังได้รับความสนใจจากเกษตรกรในเขต 6 จังหวัดภาคเหนือตอนบน เช่น จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน และอตรดิถต์ แสดงความจำนงค์ที่จะมาศึกษาดูงาน และร่วมในการปลูกมะม่วงหิมพานต์ลูกผสมสายพันธ์ใหม่ เพื่อให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้นเพียงพอต่อความต้องการ ลดการสูญเสียเงินตราจาการที่ต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งผู้สนใจที่ต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ปลูกมะม่วงหิมพานต์สามารถติดต่อได้ที่ โทร. 06-5460-9950” นายขจร กล่าวในที่สุด