บริษัท แลนด์พรหมชีวา ทำสัญญา MOU โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตเพื่อเกษตรกรไทย
บริษัท แลนด์พรหมชีวา ทำสัญญา MOU โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตเพื่อเกษตรกรไทย

เมื่อเวลา 10.45 น.วันที่ 4 มีนาคม 2565 ที่อาคารพรหมชีวา เลขที่ 126 ต.บางเลน อ.บางเลน จ.นครปฐม ดร.สุขุม วงประสิทธิ ประธานกรรมการ บริษัท พรหมชีวา จำกัด และ บริษัท แลนด์ พรหมชีวา จำกัด ร่วมลงนามทำสัญญา MOU โครงการจัดการ คาร์บอนเครดิตผ่านแพลตฟอร์มแฟรนไชส์ที่ดินเพื่อพัฒนาเกษตรกรไทย กับทาง คุณอนันต์ ถาวรรณา ประธานมูลนิธิลุประสงค์ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คุณสมาน รักษาพราหมณ์ ประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ยั่งยืน นาแปลงใหญ่บ้านดอนยอ ตำบลดอนตูม อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม และคุณไชยา วิมูลชาติ ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มนาแปลงใหญ่ข้าวไผ่หูช้าง 2 โดยได้รับเกียรติจาก คุณอำนวย เฉลิมกิจ นายก อบต.บางเลน ดร.ศิริวิตญ์ ดอกแก้ว ผู้อำนวยการประสานงานสำนักงานคณะรัฐมนตรีส่วนหน้า (สำนักงานนายกรัฐมนตรี) คุณประชา จันทร์จิระวิทยา นักธุรกิจชื่อดังด้านอสังหาริมทรัพย์ และ คุณเตือนใจ ขันติยู กรรมการผู้จัดการบริษัท พรหมชีวา จำกัด ร่วมเป็นสักขีพยาน

ดร.สุขุม วงประสิทธิ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ในการลงนามวันนี้เป็นการผลักดันการลดปัญหาโลกร้อนจากการขายเครดิต คาร์บอน เพื่อนำไปสร้างโอโซนเป็นอากาศบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากการลงนามปฏิญญาบางเลน เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564 ว่าด้วยเรื่องการจัดการคาร์บอนเครดิต ลดภาวะโลกร้อน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นการนำร่องเพื่อพัฒนาเรื่องคาร์บอนเครดิต ลดภาวะโลกร้อน โดยจะนำอำเภอบางเลนเป็นต้นแบบ แล้วจะขยายทั่วประเทศ จนมาถึงการเสวนา ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นการยกระดับพี่น้องชาวเกษตรกร ชาวนาไทย ได้มีโอกาสทำธุรกิจเพื่อสังคม เปิดให้มีการรวบรวมเกษตรกร เพื่อนำโอโซนมาใช้เป็น คาร์บอนเครดิตขายในประเทศ โดยการสนับสนุนการปลูกข้าวไม่เผาตอซัง โดยเริ่มนำร่องจากอำเภอบางเลน เพราะในอำเภอบางเลน มีพื้นที่การทำนาถึง 150,000 ไร่ ซึ่งเป้าหมายความต้องการ คาร์บอนเครดิต เริ่มต้นที่  75,000 ตันยูนิต คิดเป็นเงิน ตันละ 100 บาท โดยมีกลุ่มเป้าหมายในประเทศคือ กลุ่มบริษัท ปตท., บางจาก และโซนนิคมอุสาหกรรมทั้งหลาย ซึ่งกลุ่มเหล่านี้จะเป็นผู้ซื้อคาร์บอนเครดิต เพื่อลดภาวะโลกร้อนเรือนกระจก เพราะที่ผ่านมากลุ่มดังกล่าวได้ปล่อยมลพิษทำลายชั้นบรรยากาศมานานมากแล้ว นับเป็นเป็นการยกระดับชาวนาไทยให้ดูมีความสง่างามขึ้นในการเป็นผู้นำการลดมลพิษทางบรรยากาศ ซึ่งเกษตรกรหรือคนรุ่นใหม่สามารถมาสมัครเพื่อเข้าแลกเปลี่ยน ความคิด ข้อมูลข่าวสาร ในระบบการซื้อขายเครดิตคาร์บอน และให้ความรู้ในการเพิ่มโอโซน ลดมลพิษ 2.5

ดร.สุขุม วงประสิทธิ กล่าวต่อว่า การสนับสนุนเกษตรกรชาวนาให้ขายเครดิตคาร์บอน จะได้ประโยชน์ต่อมวลมนุษย์มหาศาล อันดับแรก การไม่เผาตอซังข้าว ซากพืชซากสัตว์จะช่วยลดปัญหาการก่อมลพิษทางอากาศ เมื่อได้อากาศที่ดีก็สามารถนำไปขายได้โดยบริษัทที่สร้างมลพิษก็จะต้องชดเชยในการมาซื้อโอโซนไปสร้างอากาศให้ดีขึ้นเป็นการตอบแทนสังคม ทางแลนด์ พรหมชีวา จะช่วยสนับสนุนประสานกรรมวิธีให้ชาวนาไม่ต้องเผาตอซังข้าวโดยให้สารอินทรีย์มาช่วยการย่อยสลายแทนการเผาซึ่งแปลงนาก็จะไม่เกิดความเสียหาย

ซึ่งเราจะใช้ระบบ IT แพลตฟอร์มแฟรนไชส์ที่ดินของบริษัทแลนด์พรหมชีวาจำกัด เป็นตัวควบคุมในการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ การปลุกข้าวไม่เผาตอซัง ถือเป็นการช่วยชาวนายกระดับราคาข้าว 1 ชาวนาจะได้แปลงนาที่ดีเป็นเป็นแปลงนาเกษตรอินทรีย์ 2 ข้าวที่ได้จะเป็นข้าวที่มีคุณภาพ สามารถขายเป็นเกรดพรีเมี่ยม แลนด์พรหมชีวา จะเป็นตัวกลางในการติดต่อประสานการจัดซื้อจัดขายให้แก่ชาวนาและผู้ร่วมธุรกิจ เพื่อให้เกิดเป็นรูปแบบธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Socail Enterprise

คุณอนันต์ ถาวรรณา กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณ แลนด์ พรหมชีวา ที่เข้ามาสนับสนุนวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ที่ดำเนินการสนับสนุนกระทวงทรัพยากรธรรมชาติ มูลนิธิเรานั้นมีหน้าที่สนับสนุนให้ชาวบ้านอยู่กับป่ามีการปลูกป่าที่มากขึ้นเพื่อลดโลกร้อน ลดมลพิษ PM2.5 ตนเองเล็งเห็นว่า แลนด์ พรหมชีวา นั้นมีความพร้อมในด้านต่างๆโดยเฉพาะมิติใหม่ด้านไอที อย่างเรื่องแพลตฟอร์มแฟรนไชส์ที่ดิน ทำให้อนาคตชาวนาไทยมั่นคงยั่งยืน ขายข้าวได้ราคาที่ดี และยังขายเครดิตคาร์บอนได้อีก เท่ากับว่าชาวนาจะมีชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้สิ่งที่ตามมาคือเรื่องสุขภาพ เมื่อเราไม่ใช้สารเคมี และการเผาให้เกิดมลพิษ ชาวนาก็จะมีความแข็งแรง อายุยืนขึ้น

สุดท้ายนี้ ดร.สุขุม วงประสิทธิ คุณเตือนใจ ขันติยู และผู้ร่วมทำสัญญา MOU ทุกท่าน ได้มอบของที่ระลึกให้กับ คุณอำนวย เฉลิมกิจ นายก อบต.บางเลน ที่ให้เกียรติมาร่วมเป็นสักขีพยานในวันนี้

SIMA_webbanner_468x90_TH_animated