นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวภายหลังประชุมหารือแนวทางสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศด้านสินค้าเกษตร ร่วมกับ นายหวาง ลี่ผิง อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และคณะ ณ ห้องประชุม 1 สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ ว่า สภาเกษตรกรแห่งชาติต้องขอขอบคุณ นายหวาง ลี่ผิง อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ ที่กรุณามาหารือกัน โดยมี 3 เรื่องที่สภาเกษตรกรแห่งชาติต้องดำเนินการต่อจากนี้ คือ เรื่องบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีน สภาเกษตรกรแห่งชาติจะขอนัดหมายกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เพื่อผลักดันเร่งรัดให้เกิดบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกันโดยเร็ว , การพูดคุยกับเกษตรกรเพื่อให้ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เหมาะสมสำหรับการส่งออก และเรื่องการประสานงานความร่วมมือกันระหว่างเกษตรกรไทยและเกษตรกรจีน ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้สภาเกษตรกรแห่งชาติจะพยายามประสานพร้อมผลักดันต่อไป
ขณะที่ นายหวาง ลี่ผิง อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและจีน ว่า ประเทศจีนกับประเทศไทยมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน มีความร่วมมือกันในระดับรัฐบาล และระดับองค์กร ซึ่งในปี 2564 ที่ผ่านมา การค้าขายสินค้าเกษตรระหว่างไทยกับจีนมีมูลค่า 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปจีนมีมูลค่าถึง 12,000 ล้านบาท มองว่าการค้าในอนาคตระหว่างไทยกับจีนควรดำเนินการดังนี้
1. การใช้ประโยชน์จากระบบการขนส่ง โดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าเกษตรไทยมีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น
2. การเสริมสร้างและการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเกษตร จะช่วยให้สินค้าไทยมีส่วนแบ่งตลาดในจีนเพิ่มมากขึ้น และ
3. เมื่อปี 2564 นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ได้กล่าวในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-จีน ว่าจีนจะนำเข้าสินค้าเกษตรจากอาเซียน มูลค่า 150,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงเป็นโอกาสอันดีที่สินค้าเกษตรของไทยจะครองส่วนแบ่งตลาดในประเทศจีนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตลาดประเทศจีนมีความต้องการสินค้าเกษตรจากประเทศไทยเป็นอย่างมาก ในปี 2564 การส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปประเทศจีนเติบโตขึ้นถึง 52% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสินค้าเกษตรไทย หากเพิ่มเรื่องการประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักในประเทศจีนมากขึ้น ก็จะทำให้สินค้าเกษตรของไทยเป็นที่ต้องการมากขึ้นเช่นกัน
นายหวาง ลี่ผิง กล่าวต่อไปว่า สำหรับแนวทางเพื่อให้เกษตรกรไทยได้ผลิต ผลผลิต , ผลิตภัณฑ์ได้ตรงตามความต้องการตลาดของประเทศจีน ได้แก่
1) ทั้งสองฝ่ายควรดำเนินความร่วมมือกันตลอดกระบวนการผลิต เริ่มตั้งแต่การปลูก แปรรูป บรรจุหีบห่อ และจัดจำหน่าย
2) สภาเกษตรกรแห่งชาติควรเข้ามามีบทบาทสำคัญด้านการประสานความร่วมมือให้กับเกษตรกรและผู้ส่งออกของไทยเพื่อจัดแสดงสินค้าเกษตรไทยในเมืองใหญ่ๆ ของประเทศจีน เช่น เซี่ยงไฮ้ หนานหนิง เป็นต้น
3) การจับมือกับบริษัทจากประเทศจีนด้านการประชาสัมพันธ์และจำหน่ายสินค้าเกษตรไทยด้วยระบบออนไลน์
” เกษตรกรไทยมีความขยันขันแข็ง จะเป็นส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยให้เติบโตได้เป็นอย่างดี ควรดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพและเพิ่มโอกาสด้านการผลิตสินค้าเกษตรให้ตรงตามความต้องการของตลาดประเทศจีน ซึ่งจะได้เริ่มดำเนินการร่วมกันกับสภาเกษตรกรแห่งชาติต่อไป ” อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ กล่าวปิดท้าย