นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ปัจจุบันสภาพอากาศในประเทศไทยมีสภาพร้อนแล้งและอบอ้าวมากขึ้น เป็นอุปสรรคต่อการทำการเกษตรในทุกภูมิภาค เนื่องจากพืชทุกชนิดต้องการน้ำและธาตุอาหารในการเจริญเติบโต ดังนั้นเกษตรกรรุ่นใหม่หลายคนจึงนิยมใช้วิธีรักษาความชื้นในหน้าดิน เพื่อไม่ให้หน้าดินมีความแห้งจนเกินไป และหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมมากคือการคลุมดิน หรือ ห่มดิน โดยใช้วัสดุเหลือใช้ในการทำการเกษตร เช่น หญ้า ฟาง ใบไม้ ทางมะพร้าว หรือทางใบปาล์ม เพื่อให้หน้าดินไม่แห้ง และรักษาความชื้นได้นาน จนเกิดการย่อยสลายเป็นอินทรียวัตถุ
รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวอีกว่า หนึ่งในตัวอย่างเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการใช้ทางใบปาล์มคลุมดินในพื้นที่ภาคใต้ คือ นายโสฬส เดชมณี เกษตรกรเจ้าของสวนปาล์ม ในตำบลศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยได้ใช้ทางใบปาล์มที่ถูกตัดในสวนมาใช้คลุมดิน เพื่อรักษาความชื้นในดิน จนเกิดการย่อยสลายเป็นอินทรียวัตถุ ซึ่งเป็นแหล่งธาตุอาหารให้แก่จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในดิน มีบทบาทสำคัญต่อการหมุนเวียนธาตุอาหาร และจะค่อย ๆ ปลดปล่อยให้กับพืช ทำให้พืชใช้ธาตุอาหารได้ในระยะยาว ช่วยให้ดินดูดซับธาตุอาหารพืชได้มากขึ้น ไม่ถูกชะล้าง และลดการสูญเสียของธาตุอาหารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อพืช
“อยากให้เกษตรกรได้ตระหนักถึงประโยชน์ของการคลุมดิน ซึ่งสามารถใช้วัสดุจากการทำเกษตรได้หลายอย่าง เพราะนอกจากจะรักษาความชื้นในดินให้ได้นานแล้ว ยังป้องกันการเกิดวัชพืชได้อีกด้วย เนื่องจากเมื่อวัชพืชไม่ได้รับแสง ก็ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ดังนั้นหากเกษตรกรใช้วิธีคลุมหน้าดินจากวัสดุเหลือใช้ในการทำการเกษตร ก็สามารถลดค่าปุ๋ย และค่ากำจัดวัชพืชได้ไปในตัว โดยไม่ได้ลงทุนเพิ่ม แค่รู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมภายในสวน หรือแปลงเกษตร ก็สามารถลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้เป็นอย่างดี” นายรพีทัศน์ กล่าว
ด้าน นายโสฬส เดชมณี เจ้าของสวนปาล์ม 44 ไร่ ในตำบลศรีวิชัย กล่าวถึงรายละเอียดในการใช้ทางใบปาล์มคลุมดินว่า จะตัดทางใบปาล์มรอบใหญ่ปีละ 2 ครั้ง โดยใช้วิธีวางทางใบแบบเต็มพื้นที่ในบริเวณพื้นที่ราบ และวางทางใบขวางระหว่างแถวปาล์มบริเวณที่ลาดชัน เพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดินโดยจะนำโคนทางใบกองรวมกันไว้ระหว่างแถวต้นปาล์ม แล้วใช้เฉพาะส่วนที่เป็นใบปาล์มปูให้เต็มพื้นที่ หรือปรับเปลี่ยนวิธีการวางทางใบปาล์มได้ตามสภาพพื้นที่และความเหมาะสมในสวน