ม.เกษตร ฯ เปิดตัวศูนย์วิจัยแหนเป็ดแห่งแรกของประเทศไทย ตอบโจทย์เศรฐกิจชีวภาพ BCG ของประเทศอย่างครบวงจร

วันที่ 18 มีนาคม 2567 ที่อาคารวิจัยวิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์ 60 พรรษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้มีพิธีเปิดศูนย์วิจัยทรัพยากรแหนเป็ดฮอโลไบออนต์ (Duckweed Holobiont Resource & Research Center; DHbRC) แห่งแรกของประเทศไทย โดยมี ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย รศ.ดร.อภิสิฏฐ์ ศงสะเสน คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศ.ดร.อรินทิพย์ ธรรมชัยพิเนต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ หัวหน้าทีมวิจัยฝ่ายไทย Prof. Masaaki Morikawa มหาวิทยาลัยฮอกไกโด หัวหน้าทีมวิจัยฝ่ายญี่ปุ่น และ Mr. Ryoichi Kawabe,Senior Representative,JICA ร่วมเป็นเกียรติในงาน และร่วมแถลงข่าวแก่สื่อมวลชน พร้อมนำชมเครื่องมือวิจัยต่าง ๆ ณ ศูนย์วิจัยทรัพยากรแหนเป็ดฮอโลไบออนต์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารวิจัยวิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์ 60 พรรษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ศูนย์วิจัยทรัพยากรแหนเป็ดฮอโลไบออนต์ (Duckweed Holobiont Resource & Research Center; DHbRC) เกิดขึ้นจากโครงการความร่วมมือวิจัยแบบบูรณาการ  เรื่อง การพัฒนาคุณค่าทรัพยากรแหนเป็ดฮอโลไบออนต์สู่เศรษฐกิจ BCG ระหว่างทีมนักวิจัยไทยและญี่ปุ่น สนับสนุนโดย Science and Technology Research Partnership for Sustainable Development(SATREPS), Japan International Cooperation Agency (JICA) และ Japan Science and Technology Agency (JST) ภายใต้วงเงิน 300 ล้านเยน ในระยะเวลา 5 ปี คือ ปี พ.ศ.2564-2569 โดยมีหัวหน้าโครงการวิจัยหลักประเทศญี่ปุ่น คือ Prof. Masaaki Morikawa มหาวิทยาลัยฮอกไกโด และประเทศไทยคือ ศ.ดร.อรินทิพย์ ธรรมชัยพิเนต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งทีมวิจัยได้สำรวจความหลากหลายทางชีวภาพของแหนเป็ดในประเทศไทย 4 สกุล ได้แก่ ผำ แหนเป็ดใหญ่ และแหนเป็ดเล็ก รวมทั้งจุลินทรีย์ร่วมอาศัยกับแหนเป็ด ศึกษาความสัมพันธ์ทางนิเวศวิทยาและกายภาพ วิเคราะห์จีโนม ไมโครไบโอม และอธิบายกลไกและปฏิสัมพันธ์ระหว่างแหนเป็ด จุลินทรีย์ และสิ่งแวดล้อม ด้วยเทคโนโลยีโอมิกส์และ ชีวสารสนเทศเพื่อให้ได้จุลินทรีย์ที่ส่งเสริมให้แหนเป็ดเจริญดี เพิ่มชีวมวล สะสมโปรตีนสูง ผลิตสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ และเพิ่มสารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ได้แก่ วิตะมิน แคโรทีนอยด์ ฟลาวานอยด์ เพื่อนำมาใช้พัฒนาเป็นอาหารเชิงหน้าที่ของมนุษย์ และเพิ่มคุณค่าอาหารสัตว์ นอกจากนี้ทีมวิจัยยังใช้แหนเป็ดเพื่อ บำบัดน้ำเสียจากปศุสัตว์และโรงงานอุตสาหกรรม โดยนำชีวมวลของแหนเป็ดกลับมาใช้หมักเป็นก๊าซมีเทน และสังเคราะห์พลาสติกชีวภาพ ซึ่งนับเป็นการใช้ทรัพยากรแหนเป็ดตอบโจทย์เศรฐกิจชีวภาพ BCG ของประเทศอย่างครบวงจร

ศ.ดร. อรินทิพย์ ธรรมชัยพิเนต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หัวหน้าทีมวิจัยฝ่ายไทย กล่าวว่า การทำงานวิจัยครั้งนี้ ได้ร่วมกับทีมนักวิจัยจากหลายสถาบัน ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยขอนแก่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม มหาวิทยาลัยรามคำแหง ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช) มหาวิทยาลัยฮอกไกโด มหาวิทยาลัยโอซากา มหาวิทยาลัยเกียวโต มหาวิทยาลัยโทโฮกุ มหาวิทยาลัยยามานาชิ และสถาบันศึกษาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประเทศญี่ปุ่น  

“เราพบว่าคุณสมบัติที่ดีของแหนเป็ด คือ มีวิตะมินสูง ประกอบด้วยวิตามินหลายชนิดรวมทั้งสารประกอบต่างๆที่สำคัญ ซึ่งทีมวิจัยศึกษาแล้วว่าแหนเป็ดมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ แอนตี้ออกซิแด้นท์ มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อก่อโรคต่าง ๆ ซึ่งเป็นความน่าสนใจของทีมวิจัยที่จะศึกษาวิจัยต่อไป ขณะเดียวกันการที่จุลินทรีย์อยู่ร่วมกันเป็นฮอโลไบออนต์ ของแหนเป็ด ก็จะทำให้แหนเป็ดเจริญเติบโตได้ดีขึ้น เหมาะที่เราจะผลิตจำนวนมากเป็นชีวมวล เพื่อมาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการเป็นอาหารเชิงหน้าที่ของมนุษย์ และอาหารเสริมในสัตว์ เช่น ไก่ หรือ หมู นอกจากนี้แหนเป็ดยังมีโปรตีนสูงและแป้งสูง สามารถนำมาใช้หมักเป็นแก๊สมีเทน และนำไปบำบัดน้ำเสีย หลังจากบำบัดน้ำเสียแล้วเศษเหลือที่ได้ก็สามารถทำเป็นส่วนประกอบส่วนผสมของพลาสติกชีวภาพได้ ทั้งนี้ การเพาะเลี้ยงแหนเป็ด สามารถทำได้ทุกพื้นที่ สำหรับเรื่องการต่อยอดผลิตภัณฑ์นั้น หากรัฐบาลส่งเสริมด้านการตลาดก็เชื่อว่าจะช่วยทำให้ใช้ประโยชน์จากแหนเป็ดได้”

สำหรับการจัดตั้งศูนย์วิจัยแหนเป็ดที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นั้น ก็เพื่อใช้เป็นศูนย์วิจัยทดลอง เก็บรวบรวมพันธุ์แหนเป็ดและจุลินทรีย์ โดยมีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการสนับสนุนจาก JICA อย่างครบครัน มีระบบเลี้ยงแหนเป็ดแบบ plant factory ที่ทันสมัย มีความร่วมมือกับบริษัทเอกชนไทย ได้แก่ ADGreen และญี่ปุ่น ได้แก่ Saraya นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ไปยังเกษตรกรและผู้ประกอบการขนาดเล็กในประเทศที่สนใจผลิตภัณฑ์ที่ได้จากแหนเป็ด ดังนั้น ศูนย์วิจัยแหนเป็ดแห่งนี้ ก็จะเป็นแหล่งรวมของผู้เชี่ยวชาญทางด้านแหนเป็ดของประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่สำหรับนิสิตนักศึกษาและนักวิจัยใหม่ๆที่สนใจสามารถเข้ามาเยี่ยมชมและเรียนรู้ร่วมกัน ขณะเดียวกันผู้ประกอบการหรือว่าบุคคลภายนอกหรือแม้แต่เกษตรกร สามารถเข้ามารับความรู้ในเชิงวิชาการงานวิจัยที่จะมีประโยชน์ในมิติต่างๆ ซึ่งทางศูนย์วิจัยแหนเป็ดเองก็จะสนับสนุนองค์ความรู้และถ่ายทอดลงสู่ชุมชนในอนาคต

ทั้งนี้ ในปี 2567 นี้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ 7th International Conference on Duckweed Research and Application (ICDRA) ที่ประเทศไทย ในระหว่างวันที่ 12-15 พฤศจิกายน 2567 อีกด้วย

SIMA_webbanner_468x90_TH_animated