วันที่ 14 – 15 มีนาคม 2568 สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ ARDA จัดกิจกรรม”สื่อมวลชนสัญจร” นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ชมนวัตกรรมงานวิจัยต่อยอดนโยบาย Soft Power ยกระดับการทำเกษตรตั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย เน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้พัฒนาสินค้าเกษตรมูลค่าสูงตอบสนองความต้องการของโลกด้านความมั่นคงทางอาหาร ยกระดับรายได้ให้กับเกษตรกรไทยก้าวข้ามกับดักความยากจน

ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร กล่าวว่า กล่าวว่า ARDA ให้ความสำคัญกับขับเคลื่อนนวัตกรรมงานวิจัยเกษตรแบบประณีตหรือเกษตรแม่นยำ เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรและบริการ มูลค่าสูงด้วยการสร้าง Brand หรือ Story เพื่อให้เกิดเป็นอัตลักษณ์ประจำถิ่นสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้แก่เกษตรกรไทยภายใต้แนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” จังหวัดเชียงราย ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพทางเกษตรกรรมโดยเฉพาะ พืชเศรษฐกิจ อาทิ ชา ข้าว กาแฟ สับปะรด พืชสมุนไพร ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่มีโอกาสต่อยอดสู่สินค้าเกษตรนวัตกรรมมูลค่าสูงการจัดกิจกรรมสื่อมวลชนสัญจรครั้งนี้ จึงถือเป็นโอกาสดีได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมตัวอย่างโครงการวิจัยที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาปรับใช้ในการทำเกษตรในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม ดังนี้

เกษตรก้าวไกลLIVE-สวก.พามาดูการปลูกข้าวญี่ปุ่น ที่เชียงราย ปลูกได้ดีขายได้ตันละ 14,000 บาท https://web.facebook.com/kasetkaoklai/videos/1149599616411976
• นวัตกรรมปลูกข้าวญี่ปุ่น อเชียงราย ลดนำเข้า 50 ล้าน! เกษตรกรกำไรพุ่ง 19%หนึ่งในไฮไลต์สำคัญเริ่มต้นของทริปนี้คือการลงพื้นที่เยี่ยมชมแปลงปลูกข้าวญี่ปุ่น หรือ ข้าวจาปอนิกา ซึ่งเป็น สินค้าตลาดเฉพาะ (Niche Market) ที่ประเทศไทยต้องนำเข้า กว่า 2,100 ตันต่อปี มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกในประเทศยังไม่เพียงพอ อีกทั้งเกษตรกรต้องประสบปัญหาการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน ARDA จึงให้การสนับสนุนทุนวิจัยกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย กรมการข้าว และผู้ประกอบการภาคเอกชน พัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวญี่ปุ่นให้ได้มาตรฐานพรีเมียม พร้อมจัดทำชุดเทคโนโลยีสำหรับใช้ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสู่เกษตรกร เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ เทคโนโลยีการผลิตที่ไม่เหมาะสม การผลิตต้นทุนสูงการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย รวมถึงปัญหาด้านช่องทางการตลาด ซึ่งผลจากการส่งเสริมโครงการวิจัยนี้ส่งผลให้เกษตรกรที่เข้าร่วมจำนวน 90 คน มีผลผลิตข้าวจาปอนิกาเพิ่มขึ้น 10% เฉลี่ย 945 กก./ร่ ต้นทุนการผลิตลดลง 14%เหลือ 5,096 บาท/ไร่ ส่งผลให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 19% หรือประมาณ 6,567 บาท/ไร่ นอกจากนี้ยังสามารถส่งเสริมกระบวนการปลูกตามมาตรฐาน GAP ได้จำนวน 40 ราย ขยายพื้นที่ปลูกได้ 279 ไร่ โดยมีเกษตรกรได้รับรองมาตรฐานแล้ว 35 รายนอกจากนี้ยังได้ผลักดันการสร้างมาตรฐานโรงสีด้วยการพัฒนาโรงสีต้นแบบให้ได้มาตรฐาน GHP/HACCP ซึ่งถือเป็น ก้าวสำคัญของจังหวัดเชียงรายในการปั้น “ข้าวญี่ปุ่นสัญชาติไทย” ลดนำเข้า ต่อยอดสู่อุตสาหกรรมข้าวพรีเมียมเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน
เกษตรก้าวไกลLIVE-สวก.พามาดูโรงสีข้าวที่รับซื้อข้าวญี่ปุ่นจากชาวนามาสีและทำการตลาด พร้อมการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆhttps://www.facebook.com/share/v/1A8RWPif2f/



“RAINS for Eastern Lanna Food Valley” ศูนย์กลางพัฒนานวัตกรรมแปรรูปวัตถุดิบท้องถิ่น ตั้งเป้าสร้างสินค้าป้อนตลาดเกษตรพรีเมียม 50 ล้านภายในปี 10 ปี โครงการวิจัยที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพการผลิตให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบท้องถิ่นเจาะกลุ่มตลาดพรีเมียม โดยมีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ร่วมกับสถาบันการศึกษาหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมดำเนินการภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจาก ARDA อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565โดยตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ 20% และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาทภายในปี 2574 เนื่องจากประชากรจังหวัดเชียงรายส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและมีพื้นที่การเกษตรกว้างขวาง แต่ยังทำเกษตรแบบดั้งเดิมขาด ทักษะการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการกระบวนการผลิตและแปรรูปสินค้า ส่งผลให้เสียโอกาสต่อยอดในอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ ปัจจุบันโครงการฯ ได้ดำเนินการถ่ายทอดองค์ความรู้และสร้างช่องทางเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรมในการผลิตธุรกิจ OEM ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 4 จังหวัด ได้แก่ ได้แก่ เชียงราย พะเยา น่าน และแพร่โดยสามารถพัฒนานวัตกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเพิ่มมูลค่าได้มากกว่า 10 ผลิตภัณฑ์ อาทิ เครื่องดื่มฟังก์ชันจากเปลือกเมล็ดโกโก้ เครื่องดื่มอัดแก๊สจากใบกัญชาและดอกฮ้อพส์ เม็ดฟู่สมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกัน เนื้อเทียมจากปลีกล้วย สแน็คจากเศษมะคาเดเมีย ลดของเสีย เพิ่มมูลค่า ฯลฯ ซึ่งนอกการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มูลค่าได้แล้วการสร้างฐานการผลิตวัตถุดิบก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันทางโครงการสามารถสร้างเครือข่ายเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนได้กว่า 600 ราย มีกำลังการผลิตผลโกโก้สด 12 ตัน/เดือน เมล็ดกาแฟ 500 กิโลกรัม/เดือน สามารถแปรรูปมะคาเดเมียได้ 200-250 กิโลกรัม/วัน ซึ่งคณะนักวิจัยได้ประเมินมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์ไว้ไม่ต่ำกว่า 20ล้านบาท / ปี
เกษตรก้าวไกลLIVE-ARDA พามาดูผลความสำเร็จของการเปิดหลักสูตรยกระดับกาแฟอะราบิกาไทย สู่ Specialty Coffee มาตรฐานโลก https://www.facebook.com/kasetkaoklai/videos/561167009618027



• ARDA ผนึกกำลังพันธมิตร เปิดหลักสูตรยกระดับกาแฟอะราบิกาไทย สู่ Specialty Coffee มาตรฐานโลก ARDA ร่วมกับ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (สวพส.) และ มหาวิทยาลัยเกษตรยูนนาน จัดอบรมหลักสูตร “การผลิตกาแฟอะราบิกาเชิงอุตสาหกรรมแบบครบวงจร” พัฒนาทักษะองค์ความรู้ให้กับบุคลากรภาคการเกษตรเพื่อยกระดับการผลิตกาแฟอะราบิกาให้กลายเป็น “Specialty Coffee” ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และได้รับการยอมรับในตลาดโลก ผ่านแนวทางการเกษตรสร้างสรรค์บนพื้นฐานกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยหลักสูตรนี้เกิดขึ้นภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ด้านการวิจัยและพัฒนาการเกษตรและความหลากหลายทาง ชีวภาพ และความร่วมมือด้านงานวิจัยกาแฟและสมุนไพร ระหว่าง 3 หน่วยงาน โดยผู้เข้าอบรมจะได้รับความรู้ตั้งแต่เทคโนโลยีการเพาะปลูก การแปรรูปเมล็ดกาแฟ ไปจนถึงการ workshop การเป็นบาริสต้ามืออาชีพ ณ มหาวิทยาลัยเกษตรยูนนาน ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำที่มีชื่อเสียงด้านการวิจัยและพัฒนากาแฟครบวงจรของจีน และยังได้รับโอกาสสร้างเครือข่ายกับตลาดกาแฟนานาชาติ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมกาแฟไทยสู่ตลาดระดับโลก

เกษตรก้าวไกลLIVE-ARDA พามาดูการพัฒนาเกษตรบนพื้นที่สูงดูการปลูกดอกคาโมมายล์ ที่นำมาแปรรูปเป็นชาสมุนไพรซึ่งกำลังได้รับความนิยม https://www.facebook.com/share/v/16VQrXp7yz/
• ARDA โชว์ฮับเกษตรสมุนไพร แหล่งแปรรูปเก๊กฮวย – คาโมมายล์ใหญ่ที่สุดในประเทศสร้างนวัตกรรมยกระดับรายได้ 80,000 บาทต่อไร่ ภายใน 5 เดือนให้เกษตรกรพื้นที่สูง ปิดท้ายการเดินทางคณะสื่อมวลชนได้เยี่ยมชมแปลงปลูกคาโมมายล์และเก๊กฮวย ณ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง๊ะ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ศูนย์แปรรูปเก็กฮวย-คาโมมายล็อบแห้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมหาวิทยาลัยแม่โจ้ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก ARDA อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 มีเป้าหมายพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้เกษตรกรบนพื้นที่สูงหันมาปลูกพืชสมุนไพรมูลค่าสูง โดยคัดเลือกคาโมมายล์และเก็กฮวย มาส่งเสริมทดแทนการปลูกฝิ่น เพื่อลด ปัญหายาเสพติดและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้เกษตรกรกลุ่มเปราะบางบนพื้นที่สูงได้อย่างมั่นคง เริ่มต้นโครงการมีเกษตรกรเข้าร่วม 20 ครัวเรือน พื้นที่ 3 ไร่ โดยถ่ายทอดเทคโนโลยีการแปรรูปเก็กฮวยอบแห้งที่โรงงานของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโ๊ะ อย่างไรก็ตาม กระบวนการแปรรูปดอกเก็กฮวยสด ยังคงประสบปัญหาสูญเสียผลผลิตมากถึง 850 กก. เกษตรกรขาดทุนและสูญเสียโอกาสทางรายได้กว่า 17,000 บาทต่อรอบการผลิต ส่งผลให้ในปี พ.ศ. 2562 ทางคณะวิจัยได้ศึกษาวิจัยและ พัฒนา “เครื่องอบลมร้อนระบบถาดหมุน” และ “โรงอบแห้งแสงอาทิตย์ระบบพลังงานความร้อนเสริม ควบคุมด้วยเทคโนโลยี IOT” และได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบการจัดการเพื่อแปรรูปเก็กฮวยอบแห้งที่โรงงานของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง๊ะ ซึ่งผลออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ จากเกษตรกรเพียง 20 ครัวเรือนในปี 2556 ปัจจุบัน ขยายสู่ 853 ครัวเรือนครอบคลุมพื้นที่ 67 ไร่ สามารถผลิตและแปรรูปดอกเก๊กฮวยและดอกคาร์โมมายล์ได้ถึง 2-3 ตันต่อวัน ช่วยลดการสูญเสียผลผลิต กว่า 70% และจากการพัฒนา “เทคโนโลยีที่เหมาะสม” (appropriate technology) ส่งผลให้ราคาผลผลิตสดปรับตัวสูงขึ้น เพิ่มรายได้เกษตรกรอย่างก้าวกระโดด จากเก็กฮวยราคารับซื้ออยู่ที่ 30 บาท เพิ่มเป็น 50 บาท/กก. คาโมมายล์จาก 50 บาทเพิ่มเป็น 75 บาท/กก. ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้สุทธิ 80,000 บาทต่อไร่ต่อรอบการผลิต

ปัจจุบันศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง๊ะ กลายเป็นแหล่งแปรรูปเก็กฮวยและคาโมมายล์อบแห้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ผลผลิตได้รับการเชื่อมโยงสู่มูลนิธิโครงการหลวงและบริษัทดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด นำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เช่น น้ำเก๊กฮวย และชาสมุนไพรต่าง ๆ พร้อมทั้งขยายตลาดไปยังผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์สุขภาพและตลาดส่งออก

การลงพื้นที่เยี่ยมชมนวัตกรรมงานวิจัย ในครั้งนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายโครงการที่ ARDA ให้การสนับสนุนทุนวิจัยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องเกษตรกรไทยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ผ่านการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาปรับใช้กับ สินค้าเกษตรพื้นถิ่น แน่นอนว่าอนาคตของเกษตรไทยไม่ได้อยู่ที่การขายวัตถุดิบ แต่คือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร ด้วยนวัตกรรมเพื่อก้าวสู่การแข่งขันในตลาดระดับโลกต่อไป และ ARDA พร้อมเป็นแรงสนับสนุนสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเกษตรกรรมไทยสู่ความยั่งยืน” ผู้อำนวยการ ARDA กล่าวปิดท้าย