ข่าว ศรแดง/เกษตรก้าวไกล— อีสท์ เวสท์ ซีด (ศรแดง) โชว์นวัตกรรมพัฒนาสายพันธุ์มะละกอพันธุ์แรกของประเทศไทยที่ให้ต้นสมบูรณ์เพศ (ต้นกะเทย) ได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เผย ปลูก 7-8 เดือน เก็บผลผลิตได้ เนื้อหวานกรอบ เหมาะกับแม่ค้าส้มตำ จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ เดือนมิถุนายน เป็นต้นไป
ถ้าหากพูดถึงพืชผักเศรษฐกิจที่สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้อย่างต่อเนื่องแล้ว “มะละกอ” ก็ถือว่าเป็นพืชที่ไม่เคยทำให้เกษตรกรผิดหวัง เนื่องด้วยยังคงมีความต้องการในตลาดผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าเราเจาะลึกตลาดมะละกอจะเห็นได้ว่า พื้นที่ปลูกมะละกอในเมืองไทยรวมแล้วมากกว่า 82,500 ไร่ มีความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์มะละกอ 2,380 กิโลกรัม หากเรามาคิดเป็นมูลค่าตลาดของมะละกอจะมีมูลค่าประมาณ 36 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นตลาดผลผลิตทางการเกษตรระดับต้นๆ ของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ โดยในปัจจุบันตลาดมะละกอสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 45% จะเป็นตลาดมะละกอกินดิบ และตลาดมะละกอกินสุกสัดส่วนอยู่ที่ 55 % โดยส่วนมากมะละกอในตลาดของไทยจะเป็นมะละกอสายพันธุ์พื้นบ้านที่ไม่มีความทนทานต่อโรคไวรัสวงแหวนซึ่งเป็นปัญหาหลักของเกษตรกรผู้ปลูกมะละกอ และยังมีปัญหาเรื่องของสายพันธุ์ที่เป็น GMO ซึ่งส่งผลไปยังเรื่องส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดมะละกอกินดิบ
คุณไซม่อน…… ผู้ช่วยประธาน คณะผู้บริหาร บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผัก และยังเป็นผู้พัฒนาสายพันธุ์ผักเขตร้อนอันดับหนึ่งของไทยและภูมิภาคอาเซียน ภายใต้แบรนด์ “ศรแดง” ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องของสายพันธุ์มะละกอ โดยเฉพาะมะละกอกินดิบ และได้เปิดตัวสายพันธุ์มะละกอกินดิบลูกผสม (F1) ครั้งแรกในปี 2558 ชื่อพันธุ์ “ส้มตำ” เป็นพันธุ์แรกที่มีความต้านทานโรคไวรัสวงแหวนและยังเป็นพันธุ์ที่ไม่ตัดต่อพันธุกรรม (Non GMO) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากเกษตรกรผู้ปลูกมะละกอกินดิบ ส่งผลให้มะละกอพันธุ์ส้มตำขึ้นแท่นเป็นพันธุ์ยอดนิยมในตลาดมะละกอกินดิบ แต่ความต้องการของเกษตรกรนอกจากสายพันธุ์ที่ทนทานโรคไวรัสวงแหวนและในเรื่องของการเป็น “ต้นสมบูรณ์เพศ” หรือที่เกษตรกรเรียกกันว่า “ต้นกะเทย” ที่มีลักษณะทรงผลยาวและเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งในตลาดมะละกอกินดิบ โดยในปัจจุบันแล้วการติดต้นสมบูรณ์เพศ(ต้นกะเทย)จะมีโอกาสเพียง 60 % เท่านั้น ซึ่งแสดงว่าเกษตรกรที่ปลูกจะต้องใช้เมล็ดถึง 3 เมล็ด/หลุม เพื่อที่จะได้ต้นสมบูรณ์เพศหรือต้นกะเทย 1 ต้น ถ้าเกษตรกรปลูกพื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกจำนวน 213 หลุม หรืออัตราการใช้เมล็ดอยู่ที่ 640 เมล็ด/ไร่ ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มต้นทุนในการใช้เมล็ดและการดูแลรักษาต้นมะละกอเพื่อให้ได้เป็นต้นสมบูรณ์เพศหรือต้นกะเทย 1 ต้น และด้วยเหตุนี้ทางศรแดงไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาสายพันธุ์มะละกอพันธุ์ส้มตำเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรให้ได้มากที่สุด จนสามารถพัฒนาสายพันธุ์มะละกอได้สำเร็จ เป็นสายพันธุ์แรกของประเทศไทยคือพันธุ์ “ส้มตำ 90” ที่สามารถติดต้นสมบูรณ์เพศ (ต้นกะเทย) ได้ถึง 90% แสดงว่าเกษตรกรสามารถใช้เมล็ดในการปลูกเพียงหลุมละ 1 เมล็ด จากที่เคยใช้หลุมละ 3 เมล็ด นั้นเอง
คุณละมัย ยะปะนัน ผู้จัดการงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด และในฐานะนักปรับปรุงพันธุ์ เปิดเผยว่าต้องคัดเลือกมะละกอกว่า 100 พันธุ์ และใช้เวลานาน 15 ปี จึงจะได้มะละกอพันธุ์ส้มตำ 90 ซึ่งมีจุดเด่น เช่น ต้นเตี้ย คอแรกผลเกือบติดดิน ใช้เวลาปลูก 7 – 8 เดือน ก็สามารถเก็บผลผลิตได้ โดยผลจะมีความยาว 30 – 35 เซ็นติเมตร การติดผลดก ทนโรคไวรัสวงแหนได้ดี ให้ผลผลิตต่อไร่จำนวน 30 ตัน (80-100 ลูก/ต้น) หรือคิดเป็นรายได้ทั้งหมดประมาณ 120,000 บาท/ไร่ และที่สำคัญสามารถติดต้นสมบูรณ์เพศ หรือต้นกะเทยได้ถึง 90% มะละกอพันธุ์ส้มตำ 90 นี้ยังถือว่าเป็นมะละกอพันธุ์แรกของประเทศไทย ที่มีลักษณะเด่น 3 ด้าน คือ 1. สามารถติดดอกสมบูรณ์เพศหรือดอกกะเทยได้ถึง 90% 2. มีความทนทานต่อไวรัสวงแหวน 3. ปราศจาก GMO โดยได้รับรองจากสถาบันยูโรฟินส์ (Eurofins) ประเทศเยอรมนี
“หากมองถึงตลาดการส่งออกมะละกอดิบ “พันธุ์สัมตำ 90” ถือว่าเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของเกษตรกร หรือแม้แต่ตลาดภายในประเทศเอง เนื่องจากจะช่วยลดต้นทุนการใช้เมล็ดให้เกษตรกรลงได้ถึง 30% และการติดต้นสมบูรณ์เพศหรือต้นกะเทยได้ถึง 90% เพื่อช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนการจัดการดูแลต่างๆ ได้อีกทาง ดังนั้นจึงถือได้ว่า มะละกอพันธุ์ “ส้มตำ 90” คือพืชนวัตกรรมเพื่อเกษตรกรอย่างแท้จริง” คุณละมัย กล่าว
ในด้านการปลูกและการจัดการ คุณอดิศักดิ์ รักษาก้านตง ผู้ชำนาญการผลิตเมล็ดพันธุ และเป็นผู้ดูแลแปลงปลูก กล่าวว่า กล่าวเสริมว่า ก่อนการปลูกต้องทำการเตรียมดินและยกร่องสูงประมาณ 50 ซม. แต่ละต้นปลูกห่างกัน 2.5X2 เมตร เมื่อปลูกไปได้ 7 วันจะให้ปุ๋ยสูตร 15-0-0 โดยจะให้ร่วมไปกับระบบน้ำหยด (วิธีการปลูกและการจัดการ ดูประกอบจาก https://www.youtube.com/watch?v=0b7P7zT9TII&feature=youtu.be)
อนึ่ง ในการจัดจำหน่ายเมล็ดพันธุ์นั้น คุณอิสระ วงศ์อินทร์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด กล่าวว่าจะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยเมล็ดพันธุ์จะบรรจุในถุงสุญญากาศขนาด 350 เมล็ด ราคา 900 บาท ซึ่งจะมีจำหน่ายตามร้านขายอุปกรณ์เกษตรและเคมีภัณฑ์ทั่วไป