รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เสนอหลักการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยการกำหนดกรอบในการร่วมพัฒนาประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืนภายใต้ “โครงการไทยนิยม ยั่งยืน”ใน 10 ด้านด้วยกัน งบประมาณกระจายสู่ระบบเศรษฐกิจทั้งหมดกว่า 9.95 หมื่นล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวเป็นงบประมาณในส่วนของการปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตรบาทภายใต้การดำเนินการของกระทรวงเกษตรสหกรณ์จำนวน วงเงิน 24,300 ล้านบาท
กระทรวงเกษตรฯได้เดินหน้าโครงการดังกล่าวอย่างเข้มข้นด้วยการตั้ง “War room ไทยนิยม ยั่งยืน เกษตร” ขึ้นมากำกับดูแลบริหารจัดการอย่างใกล้ชิดเพื่อขับเคลื่อนโครงการในเชิงรูปธรรมที่เกษตรกรและประชาชนได้รับประโยชน์ตามเป้าหมาย
สำหรับความก้าวหน้าโครงการไทยนิยมภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงเกษตรฯนั้น ได้ดำเนินการภายใต้งบประมาณ ปี 61 วางเป้าเกษตรกรเข้าร่วม 2,285,653 ราย และส่งเสริมให้ประชาชนและเกษตรมีความรู้เกี่ยวกับอาชีพใหม่ๆ 1,935,353 ราย ล่าสุดเข้าร่วมแล้ว 1,828,590 ราย นอกจากนี้ยังได้วางเป้ารายได้ที่ประชาชนและเกษตรกรได้รับ 1,307,993.750 บาทและรายได้ทางตรงจากการเข้าร่วมโครงการ 998,993.750 บาท รายได้ทางอ้อมจากการนำความรู้หรือปัจจัยการผลิตไปใช้ 303,780.000 บาท หรือก้าวหน้าไปประมาณ 15 – 20 % โดยโครงการส่วนใหญ่ของกระทรวงเกษตรฯ เป็นโครงการที่เกี่ยวกับการอบรมด้านอาชีพ ต้องรอรายชื่อผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่แจ้งความประสงค์เข้าอบรมพัฒนาอาชีพ ขณะนี้บางโครงการมีผู้แจ้งความประสงค์เข้าอบรมเกินโควตา บางโครงการมีผู้ลงทะเบียนไม่ถึงโควตาที่กำหนด
ส่วนกรณีการจัดซื้อเครื่องมือทางการเกษตรของสหกรณ์การเกษตร งบประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท โดยเป็นเงินในการอุดหนุนสหกรณ์การเกษตร 300 แห่ง ในการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการเกษตร อาทิ รถยก สร้างลานตาก จัดซื้ออุปกรณ์อบแห้ง เป็นต้น โดยเบิกจ่ายผ่านกรมส่งเสริมสหกรณ์นั้น หลายฝ่ายกังขาในเรื่องที่มีการเสนอราคาแตกต่างกัน เนื่องจากรายละเอียดและคุณสมบัติของเครื่องมือ ซึ่งได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจลงไปตรวจสอบโดยด่วนแล้ว สำหรับระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างที่ติดขัดอยู่นั้น กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งหารือร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป และขอยืนยันว่ายังไม่เกิดความเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาอาชีพชาวสวนยางรายย่อยเพื่อความยั่งยืน กิจกรรมส่งเสริมการลดพื้นที่ปลูกยาง โดยการโค่นสวนยางเดิมที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินชดเชยไร่ละ 16,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้ผู้ปลูกยางพาราปรับเปลี่ยนไปประกอบอาชีพเกษตรกรรมใหม่ ขณะนี้ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สำรวจข้อเท็จจริงและชี้แจงทำความเข้าใจกับเกษตรกรในพื้นที่แล้ว
“โครงการไทยนิยม ยั่งยืน” จึงถือว่าเป็นโครงการที่ตอบโจทย์หลัก ในการพัฒนา 2 ด้านไปพร้อม ๆ กัน คือ ด้านเศรษฐกิจ ในการดูแลปัญหาปากท้อง ความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นตลอดจนไปถึงด้านความมั่นคงของประเทศตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลโดยแท้จริง โดยกระทรวงเกษตรฯ วางเป้าเกษตรกรทั่วประเทศได้ประโยชน์จากโครงการนี้ไม่ต่ำกว่า 4.3 ล้านคน