นายดำรงฤทธิ์ หลอดคำ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง เปิดเผยว่า สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง (สสก.ที่ 3 ระยอง) ได้เร่งขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำในระดับไร่นา โดยผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ในปี 2563 จำนวน 7 แห่งในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคตะวันออกให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการให้น้ำแก่พืชอย่างเพียงพอ ภายใต้แนวทางการส่งเสริมให้เกษตรกรมีการวางแผนการเพาะปลูกพืชอย่างเหมาะสม มีการวางแผนจัดการน้ำสำหรับทำการเกษตรที่ดี เพื่อช่วยลดผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ซึ่งกำลังเป็นหนึ่งในปัญหาหลัก ที่ภาคการเกษตรต้องเผชิญในแทบทุกปี น้ำจึงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับอาชีพการเกษตรในปัจจุบันและอนาคต
ทั้งนี้จะมีการดำเนินการวางแผนสร้างแปลงเรียนรู้เกี่ยวกับการวางระบบการให้น้ำแก่พืชชนิดต่างๆ โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจสำคัญของพื้นที่ภาคตะวันออก ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของเกษตรกร ผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) โดยนายดำรงฤทธิ์ กล่าวว่า ในปี 2563 จะดำเนินการจำนวน 7 แห่งในภาคตะวันออก ผ่าน ศพก. และศูนย์เครือข่าย ศพก. ใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย
จังหวัดจันทบุรี จัดทำ ณ แปลงเรียนรู้ของเกษตรกรต้นแบบ นางสุวรรณี เทียนดี หมู่ที่ 5 ตำบลตรอกนอง อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ซึ่งมีการดำเนินงานการใช้ระบบน้ำแบบประหยัดในแปลงเรียนรู้สวนไม้ผล (ทุเรียน) บนพื้นที่ 6 ไร่ ที่ใช้น้ำจากบ่อดินที่ขุดขึ้นมาภายในสวนและสร้างแหล่งน้ำแบบกักเก็บน้ำฝนเพื่อสำรองใช้ภายในสวนเป็นของตนเอง จนมีน้ำเพียงพอสำหรับทุเรียนที่ปลูก
จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นแปลงเรียนรู้ของเกษตรกรต้นแบบ นางพัทธนันท์ คชสีห์ ณ หมู่ที่ 4 ตำบลบางคา อำเภอราชสาส์น จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งมีการจัดทำระบบน้ำสำหรับสวนไม้ผล (ฝรั่ง ส้มโอ ฯลฯ) บนพื้นที่ 4 ไร่ ซึ่งอยู่ในเขตชลประทาน แต่ยังมีการจัดสร้างแหล่งน้ำของตนเองภายในพื้นที่เพื่อเป็นแหล่งน้ำสำรวจยามขาดแคลน
จังหวัดชลบุรี ณ แปลงเรียนรู้ของเกษตรกรต้นแบบ นายสมศักดิ์ สมานราษฎร์ หมู่ที่ 11 ตำบลเกาะจันทร์ อำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี เกี่ยวกับการใช้น้ำในสวนไม้ผล (ขนุน) บนพื้นที่ 5 ไร่ ที่มีการจัดทำแหล่งเก็บกักน้ำเป็นของตนเอง
จังหวัดตราด ที่แปลงเรียนรู้ของเกษตรกรต้นแบบ นายอิสระ ศรีนาราง หมู่ที่ 4 ตำบลท่ากลุ่ม อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด เป็นการดำเนินงานการใช้ระบบน้ำในแปลงเรียนรู้ในสวนไม้ผล (ทุเรียน) บนพื้นที่ 13 ไร่ ซึ่งจะใช้น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะในพื้นที่ใกล้เคียงกับสวน และสร้างแหล่งน้ำกักเก็บน้ำฝนเพื่อสำรองเป็นของตนเอง จังหวัดปราจีนบุรี
จังหวัดปราจีนบุรี ที่แปลงเรียนรู้ของเกษตรกรต้นแบบ นายกนก ด้วงพิมพ์ หมู่ที่ 2 ตำบลไม้เค็ด อำเภอเมือง ปราจีนบุรี การดำเนินงานการใช้ระบบน้ำในแปลงเรียนรู้ในสวนไม้ผลแบบผสม ประกอบด้วยทุเรียน ส้มโอ และลองกอง บนพื้นที่ 7 ไร่ มีแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นแหล่งหลักและขุดบ่อน้ำบาดาลเป็นแหล่งน้ำสำรองยามขาดแคลน
จังหวัดระยอง ที่แปลงเรียนรู้ของเกษตรกรต้นแบบ นายชัชวาลย์ ใกล้อินทร์ หมู่ที่ 4 ตำบลเขาน้อย อำเภอเขาชะเมา จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นการดำเนินงานการใช้ระบบน้ำในแปลงเรียนรู้สวนไม้ผล (ทุเรียน) บนพื้นที่ 4 ไร่ ด้วยการสร้างแหล่งน้ำกักเก็บสำรองในพื้นที่สวนของตนเอง
จังหวัดสระแก้ว เป็นแปลงเรียนรู้ของเกษตรกรต้นแบบ นางกาหลง วังศิริ หมู่ 4 บ้านหนองผักหนาม ตำบลตาหลังใน อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว แปลงนี้จะใช้ระบบน้ำสำหรับไร่อ้อยโรงงาน บนพื้นที่ 15 ไร่ โดยนำน้ำจากแหล่งน้ำจากคลองธรรมชาติมาบริหารจัดการ
ซึ่งแนวทางการใช้ระบบการให้น้ำแก่พืชอย่างมีประสิทธิภาพนั้น นายดำรงฤทธิ์ กล่าวว่า ขั้นต้นจะมีการเลือกชนิดของระบบน้ำที่เหมาะสมกับชนิดพืชที่ปลูก จากนั้นจะออกแบบระบบที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยผ่านการคิดคำนวณก่อนการติดตั้ง ภายใต้สภาพของความเป็นจริงของแปลงเพาะปลูก คือ ระยะปลูก สภาพพื้นที่/แหล่งน้ำ/แหล่งพลังงาน การเลือกวัสดุอุปกรณ์คุณภาพเหมาะสม ได้แก่ หัวจ่ายน้ำ ท่อย่อย ท่อเมนย่อย ท่อเมน กรอง ปั๊มน้ำ ระบบเปิด-ปิด และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงการติดตั้งระบบที่เหมาะสมกับพื้นที่ และความชำนาญหรือประสบการณ์ พร้อมทั้งการใช้และบำรุงรักษาอย่างถูกต้องตามคำแนะนำ
“โดยเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรจะร่วมกับเกษตรกรต้นแบบเจ้าของแปลงเรียนรู้ ร่วมกันวิเคราะห์ ออกแบบ และวางแผนการสร้างแปลงเรียนรู้ขึ้นมาในการวางระบบการให้น้ำแก่พืช ในด้านการให้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพในพื้นที่ ทั้งนี้เพื่อให้เกษตรกรได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้และนำไปปฏิบัติใช้ในพื้นที่เพาะปลูกของตนเองต่อไป ซึ่งจะทำให้เกษตรกรสามารถใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ประหยัด และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ให้มีความรู้ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานสู่เกษตรกร สามารถผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ ลดต้นทุนการผลิต ตลอดจนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากการประกอบอาชีพการเกษตรอย่างยั่งยืนต่อไป” นายดำรงฤทธิ์ กล่าว